รู้จักรัก รู้จักป้องกัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

thairath140214_001สัปดาห์แห่งความรัก หรือเทศกาลวาเลนไทน์ เป็นช่วงที่อารมณ์ หรือฮอร์โมนพลุ่งพล่าน หลายคู่รักมักวางแผนทำกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่ไปทานข้าวสังสรรค์ จนถึงขั้นมีกิจกรรมเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเรา แต่จะเป็นกิจกรรมประเภทไหน ก็พึงกระทำอย่างมีสติ วันนี้ทีมคณะแพทย์ศาสตร์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี จึงมีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคทางเพศสัมพันธ์มาฝาก แม้จะดูน่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่เกิดบ่อยครั้ง หากนึกสนุกมีความสัมพันธ์โดยไม่ดูแลตัวเองให้ดี ฉะนั้น เรื่องน่ารู้และคำแนะนำเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่คุณๆ ทั้งหลายควรรู้ไว้ โดยในวันนี้จะนำเสนอเป็นตอนแรก และนำเสนอตอนจบในสัปดาห์ถัดไป

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ “กามโรค” เกิดจากการร่วมเพศกับผู้ที่เป็นโรคนี้ ไม่ได้เกิดจากการใช้สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันร่วมกัน การใช้ห้องสุขา หรือสระว่ายน้ำร่วมกัน ยกเว้นอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมทางเพศ เช่น อวัยวะเพศชายเทียมที่ใช้ในการร่วมเพศครั้งเดียวกัน

กิจกรรมทางเพศมีหลายรูปแบบ มีความเสี่ยงต่อการติดโรคมากน้อย ขึ้นกับลักษณะของกิจกรรม กิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรคต่ำ ได้แก่ การกอดจูบลูบคลำภายนอก การสำเร็จความใคร่ให้กันและกัน กิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ การร่วมเพศทางปาก ทางช่องคลอด และทางทวารหนัก โดยเฉพาะการร่วมเพศทางทวารหนักนั้น มีการเสี่ยงต่อการติดโรคมากที่สุด เพราะมักมีการถลอกของอวัยวะเพศชายและผิวทวารหนัก ซึ่งเป็นช่องทางให้เชื้อกามโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

การใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันกามโรคได้ดี โดยมีเงื่อนไขว่าต้องใช้สม่ำเสมอทุกครั้งที่ร่วมเพศ สวมใส่ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง มีการหล่อลื่นดีเพื่อป้องกันถุงฉีกขาด แต่สิ่งที่ควรรู้ คือ ถุงยางอนามัยป้องกันกามโรคบางชนิดได้ไม่ดีนัก เช่น หูดหงอนไก่ โรคเริม เพราะอาจติดต่อโดยบริเวณถุงยางคลุมไม่ถึง ถุงยางอนามัยสตรีป้องกันกามโรคได้ดีกว่าถุงยางชาย เพราะมีบริเวณครอบคลุมมากกว่าและฉีกขาดยากกว่า การใส่ถุงยางชายหลายชั้นอาจทำให้การแตกรั่วฉีกขาดยากขึ้น แต่ทำให้ความรู้สึกในการร่วมเพศลดลง

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดอาการได้หลายระดับ มีความรุนแรงตั้งแต่น้อยถึงมาก จนทำให้เสียชีวิต โดยสามารถแบ่งประเภทตามอาการได้ดังนี้

ประเภทแรกคือ “ไม่มีอาการ” ได้แก่ โรคเอดส์ระยะแรก หรือที่เรียกว่า เอชไอวี โรคตับอักเสบจากไวรัสบีและโรคซิฟิลิส ทั้งสามโรคตรวจพบได้จากการเจาะเลือด ถ้าเลือดบวกแสดงว่ามีการติดเชื้อ และอาจอยู่ในระยะแฝง หรือฟักตัว

“โรคเอดส์” อาจใช้เวลาถึงสามเดือนจึงจะทำให้เลือดเป็นผลบวก ในกรณีที่สงสัยจึงต้องเจาะเลือดตรวจซ้ำหลายครั้ง โรคเอดส์และโรคตับอักเสบจากไวรัสบีในระยะสุดท้าย จะทำให้มีอาการต่อระบบต่างๆ ในร่างกายมาก และผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตในที่สุด ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อไวรัส ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ไม่สามารถกำจัดเชื้อดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยสามารถดูแลร่างกายให้แข็งแรงและไม่รับเชื้อเพิ่ม ก็อาจมีสุขภาพเป็นปกติเหมือนคนทั่วไปได้ ในปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่ใช้ร่วมกันหลายขนาน สามารถควบคุมการติดเชื้อไม่ให้กำเริบจนมีอาการได้ แต่ยังไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หายขาด

ซิฟิลิส” เป็นกามโรคที่สำคัญในอดีต ก่อนจะมีโรคเอดส์ แต่ในปัจจุบันมียาปฏิชีวนะสามารถรักษาให้หายขาดได้ หรืออย่างน้อยก็ควบคุมยับยั้งการกำเริบของโรคนี้ได้ จึงไม่แสดงอาการรุนแรงเหมือนในอดีต และมักตรวจพบในสตรีที่มาเจาะเลือดขณะฝากครรภ์ หรือผู้ป่วยที่เจาะเลือดก่อนรับการผ่าตัดกลุ่มที่มีติ่งเนื้อ หรือตุ่มนูนที่อวัยวะเพศ โรคที่สำคัญ คือ หูดหงอนไก่และหูดข้าวสุก

กลุ่มต่อมา ได้แก่ “หนองแท้และหนองในเทียม” กลุ่มนี้มีอาการเด่น คือ มีหนองไหลจากอวัยวะเพศ หรือช่องทางร่วมเพศ ในเพศหญิงพบว่าไหลออกจากช่องคลอด หรือช่องปัสสาวะและมีอาการแสบเวลาปัสสาวะ ในเพศชายจะมีอาการหนองไหลจากท่อปัสสาวะและมีปัสสาวะแสบขัดลำกล้องมากกว่าในฝ่ายหญิง เนื่องจากท่อปัสสาวะยาวกว่า ในรายที่ร่วมเพศทางปากอาจพบมีการอักเสบและมีหนองในช่องปากและต่อมทอนซิล ในรายที่มีการร่วมเพศทางทวารหนักอาจพบมีหนองปนกับอุจจาระ โดยทั่วไปมักเกิดอาการเหล่านี้ภายใน 1 สัปดาห์ หลังการร่วมเพศที่ติดเชื้อ ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะ

หูดหงอนไก่” เป็นกามโรคที่พบบ่อยในปัจจุบันและมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูก เพราะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องได้ แต่วัคซีนมีราคาแพงและควรฉีดก่อนการร่วมเพศครั้งแรกเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ทั้งสองโรคจะมีอาการคล้ายกัน คือ มีตุ่มนูนบริเวณอวัยวะเพศ มักมีหลายตุ่ม ขนาดเล็กๆ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 เซนติเมตร ไม่เจ็บ ยกเว้นจะมีการอักเสบจากการเกา หูดหงอนไก่มีผิวขรุขระเป็นหนาม คล้ายกับหงอนไก่ หรือดอกกะหล่ำ

หูดข้าวสุก” มีผิวเรียบ แต่ละตุ่มมีรูตรงกลาง ซึ่งเมื่อสุกดีจะบีบของเหลวข้นๆ ออกจากรูได้คล้ายข้าวสุก ในบางรายติ่งเนื้อ หรือตุ่มมีขนาดเล็ก สามารถหายเองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ถ้าติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ มีจำนวนมาก หรือกระจายเป็นวงกว้าง การใช้ยารักษาหูดจี้สัปดาห์ละหนึ่ง หรือสองครั้งจะได้ผลดี ถ้าใช้ยาเกินหนึ่งเดือนแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์อาจใช้วิธีทางศัลยกรรม เช่น การตัดออก การจี้ด้วยไฟฟ้า การจี้ด้วยความเย็น

จะเห็นได้ว่าอาการของกลุ่มกามโรคที่กล่าวมานี้มีอาการค่อนข้างรุนแรงและต้องใช้เวลาในการรักษา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกโรคมีวิธีป้องกันหลายวิธี ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ในสัปดาห์หน้า เราจะนำเสนออาการในกลุ่มกามโรคอื่นๆ อีก สำหรับสัปดาห์นี้ ก็ขอให้ทุกท่านมีความสุขในช่วงเทศกาลแห่งความรัก ที่สำคัญนอกเหนือไปกว่าส่งความรักให้คนอื่น ก็อย่าลืมรักตัวเอง ป้องกันตัวเอง และคนที่เรารักจากโรคทางเพศสัมพันธ์ให้ดีด้วย.

นพ.สัญญา ภัทราชัย
คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี

ที่มา : ไทยรัฐ 14 กุมภาพันธ์ 2557

thairath140221_001

รู้จักรัก รู้จักป้องกัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (2)

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทีมแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้นำเสนอเกี่ยวกับกลุ่มอาการของกามโรคไปแล้วบางส่วน ในสัปดาห์นี้จะขอเพิ่มเติมกลุ่มอาการอื่นๆ เพื่อเป็นความรู้และข้อเสนอแนะสำหรับดูแลตัวเองและคนที่เรารักต่อไป

กลุ่มถัดมาคืออาการ “มีแผลที่อวัยวะเพศ” โรคสำคัญคือเริมและแผลริมอ่อน ทั้งสองโรคมักเกิดแผลที่บริเวณอวัยวะเพศประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อ

โรคเริม” มักมีอาการเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใสๆ ประมาณกลุ่มละ 4-6 ตุ่ม กระจายตามบริเวณผิวหนังที่สัมผัสเชื้อในการร่วมเพศ มีอาการเจ็บและแสบร้อนมากภายใน 1 สัปดาห์ ตุ่มน้ำจะแตกและกลายเป็นแผลตื้นๆ ซึ่งแสบร้อนมาก ในบางรายอาจทำให้อวัยวะเพศบวม บางรายปัสสาวะไม่ออก ในรายที่มีอาการครั้งแรกมักมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย พร้อมกันนั้นก็มีต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต กรณีที่มีอาการอ่อนเพลียมากหรือปัสสาวะไม่ออก ควรนอนรักษาในโรงพยาบาลพร้อมให้ยาและน้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ โดยอาการมักหายเป็นปกติภายในสองสามสัปดาห์ แผลหายสนิทโดยไม่มีแผลเป็น (ถ้าไม่มีการอักเสบติดเชื้อจากแบคทีเรียซ้ำเติม) โรคเริมอาจกลับมาเป็นซ้ำได้หลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เช่น ขณะมีประจำเดือน เครียดจัด นอนไม่หลับ ตุ่มน้ำของเริมมักขึ้นบริเวณเดิม โดยอาการจะไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรก โรคเริมเกิดจากเชื้อไวรัสและยังไม่มียารักษาให้หายขาด มีแต่ยาที่ทำให้อาการทุเลาและหายเร็วขึ้น

แผลริมอ่อน” ต่างจากเริมเพราะเป็นแผลเดี่ยวขนาดใหญ่ แผลมีก้นลึกและมีหนองที่ก้นแผล ขอบแผลดูเว้าแหว่งเหมือนถูกสัตว์กัดแทะ มีอาการเจ็บมาก ถ้าไม่ได้รับการรักษามักหายเองภายในสองสามสัปดาห์ โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการฉีดยาครั้งเดียว

กลุ่มอาการ “ฝีมะม่วง” คือการอักเสบของกลุ่มต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดโตและเจ็บ บางรายมีร่องตรงกลางดูคล้ายผลมะม่วงอกร่อง จึงเรียกว่าฝีมะม่วง ในกรณีที่ฝีสุกและมีหนองภายในมาก ฝีอาจแตกได้ ซึ่งภายหลังฝีแตก แผลมักหายช้า บางรายอาจกินเวลาเป็นเดือน ฉะนั้นจึงควรรักษาก่อนฝีจะแตกและไม่ควรผ่าฝี การรักษาที่ถูกต้องคือ แพทย์จะใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังปกติเข้าไปในฝีและดูดหนองออกเพื่อให้ฝียุบตัวลง หลังจากนั้นจึงให้ยาปฏิชีวนะต่ออีกสองสัปดาห์ ฝีมะม่วงเกิดจากเชื้อตัวเดียวกับโรคหนองในเทียมและใช้ยารักษาในกลุ่มยาเดียวกัน

กลุ่มอาการ “ตกขาวกลิ่นเหม็นคาวปลา” ซึ่งมีอาการคันหรือตกขาวเป็นก้อน กลุ่มนี้ประกอบด้วยโรคสามโรคคือ การติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นคาวปลา การติดเชื้อราในช่องคลอดและการติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ทั้งสามโรคเป็นโรคที่ไม่รุนแรง ไม่ทำอันตรายร้ายแรงต่อผู้ติดเชื้อ แต่สร้างความรำคาญโดยเฉพาะในการร่วมเพศ ทั้งสามโรคเกิดจากการเสียสมดุลของสภาวะในช่องคลอด ซึ่งโดยปกติจะมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ได้ระดับหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การสวนล้างช่องคลอด การใช้สิ่งแปลกปลอมสอดใส่ในช่องคลอด การเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือการติดเชื้อกามโรค

การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดทำให้เกิดกลิ่นคาวปลา” เกิดจากภาวะในช่องคลอดเป็นกรดน้อยลง ทำให้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเจริญผิดปกติ กลิ่นจะรุนแรงในขณะที่มีการหลั่งน้ำอสุจิในการร่วมเพศ ทำให้เกิดความรู้สึกอันไม่พึงประสงค์ โรคนี้สามารถรักษาได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะ อาจใช้ร่วมกับยาเหน็บช่องคลอด และงดการสวนล้างช่องคลอด โรคนี้อาจเป็นซ้ำได้บ่อย และเพื่อให้เกิดผลดีทางการรักษาฝ่ายสามีจึงต้องมีการรักษาควบคู่กันไปด้วย

เชื้อราในช่องคลอด” พบได้บ่อยในคนปกติ บางรายพบจากการตรวจเช็กมะเร็งปากมดลูกประจำปี โดยทั่วไปมักไม่มีอาการ ยกเว้นในรายที่เป็นมากอาจมีตกขาวปริมาณมากและมีอาการคัน ตกขาวมีลักษณะเป็นก้อนๆ เหมือนนมบูดหรือนมแหวะออกมาของทารก อาการอาจมากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์เพราะมีเลือดมาเลี้ยงมดลูกและอวัยวะในช่องเชิงกรานมากขึ้น การรักษามียารับประทานทางปากหรือเหน็บทางช่องคลอด

เชื้อพยาธิในช่องคลอด” พบได้น้อยกว่าสองโรคข้างต้น พบได้บ้างในคนปกติ ในรายที่เป็นมากจะมีตกขาวคล้ายหนองเป็นฟองจำนวนมากและมีกลิ่นเหม็นคันช่องคลอด นำตกขาวมาส่องขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบตัวพยาธิรูปร่างเหมือนใบโพธิ์วิ่งไปมาจำนวนมาก สามีมักมีเชื้อพยาธิอยู่ด้วยแต่ไม่มีอาการ การรักษาต้องรักษาทั้งคู่จึงจะหายขาด การรักษาโดยให้ยาครั้งเดียวรับประทานจะให้ผลดีมาก

thairath140221_001a

นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำสำหรับการปฏิบัติตัวในกรณีเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

– ลด ละ เลิก พฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อกามโรค เช่น มีคู่เพศสัมพันธ์หลายคน การสำส่อนทางเพศ การใช้วิธีร่วมเพศที่ไม่ปลอดภัย เช่น ใช้อุปกรณ์ในการร่วมเพศร่วมกัน

– หากสงสัยว่าจะเป็นกามโรคให้มาพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง

– ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งในการร่วมเพศกับผู้ที่ไม่ทราบว่าปลอดภัยหรือไม่ วิธีดีที่สุดคือพึงพอใจเฉพาะคู่ของตน เพราะหากร่วมเพศกับผู้ที่ปลอดภัยก็ไม่จำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกัน

– ผู้ป่วยกามโรคควรพาคู่สมรสหรือคู่เพศสัมพันธ์มาพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อที่อาจแฝงอยู่ ในผู้ป่วยกามโรคบางรายอาจมีโรคมากกว่าหนึ่ง ดังนั้น คลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงมีบริการเจาะเลือด ตรวจหาเลือดบวกและเพาะเชื้อจากหนองหรือตกขาวเพื่อค้นหาการติดเชื้อกามโรคในระยะแฝง การรักษาต้องให้การรักษาทั้งคู่จนหายจึงจะมีความปลอดภัยในการร่วมเพศ

นพ.สัญญา ภัทราชัย

คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี

ที่มา : ไทยรัฐ 21 กุมภาพันธ์ 2557

เซ็กซ์ไม่ป้องกัน เสี่ยงกามโรค 80%

dailynews140221_001เรื่องเพศสัมพันธ์ หากมีการเปลี่ยนคู่นอนมากหน้าหลายตา นอกจากจะต้องป้องกันเรื่องการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจแล้ว การป้องกันการติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์ก็ยังสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มิเช่นนั้น โรคร้ายๆ อาจคืบคลานเข้ามาจนทำให้เจ็บป่วย และอาจรุนแรงถึงขั้นไม่สามารถมีเซ็กซ์ได้

อย่างเช่น กามโรค สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ การมีกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่ได้สวมใส่ถุงยางอนามัยชนิดลาเท็กซ์ (Latex condom) และการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนักกับผู้ที่เป็นโรคหรือผู้ติดเชื้อ มีผลการศึกษาชี้ว่า ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวกับผู้ชายที่มีเชื้อหนองในแท้โดยไม่สวมใส่ถุงยาง จะมีโอกาสติดเชื้อประมาณ 70-80%

ส่วนผู้ที่สวมถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี หรือมีพฤติกรรมใส่บ้างไม่ใส่บ้างนั้น ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรค ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นตามจำนวนของคู่นอน และเมื่อเป็นโรคทางเพศชนิดหนึ่งแล้วก็จะทำให้ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกชนิดหนึ่งได้ง่ายขึ้น เช่น ถ้าเป็นเริมที่อวัยวะเพศ กามโรค/โรคซิฟิลิส หนองในแท้/โรคหนองใน หรือหนองในเทียม และมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโรคเอดส์ จะมีโอกาสติดเชื้อเอดส์เพิ่มสูงขึ้น

อาการที่อาจบ่งชี้ว่าติดโรคสามารถสังเกตได้จากมีอาการเจ็บ มีก้อนบวม (Lump) หรือแผลที่บริเวณปากและทวารหนัก ปัสสาวะแสบขัด มีน้ำ ตลอดจนมีหนองออกมาจากอวัยวะเพศชายและช่องคลอด มีอาการปวดที่บริเวณต่อมน้ำเหลืองโดยเฉพาะที่ขาหนีบ เป็นต้น โดยหลังจากที่มีการสัมผัสโรคจะใช้เวลาตั้งแต่ 2 วัน จนถึง 3 เดือน จึงจะปรากฎอาการหรือร่องรอยของโรค

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ยังมีอีกหลายสาเหตุ ทั้งการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น อาจทำให้เกิดการติดเชื้อเหล่านี้ได้ เช่น ไวรัสเอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบ บี และเมื่อติดเชื้อแล้ว ก็สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย ซึ่งวัยรุ่นผู้หญิงเซลล์บริเวณปากมดลูกยังเจริญไม่เต็มที่ จึงมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ตลอดเวลา เซลล์ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะไวต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

takecareDD@gmail.com

ที่มา: เดลินิวส์ 21 กุมภาพันธ์ 2557

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในปัจจุบัน

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเดิมเรียกว่า “กามโรค” เป็นโรคที่เกิดจากการร่วมเพศกับผู้ที่มีโรคนี้อยู่ ไม่ได้เกิดขึ้นเองหรือเกิดขึ้นจากใช้สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันร่วมกันหรือใช้ห้องสุขา สระว่ายน้ำร่วมกัน (ยกเว้นอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมทางเพศ เช่น อวัยวะเพศชายเทียมที่ใช้ในการร่วมเพศครั้งเดียวกัน)

กิจกรรมทางเพศมีหลายรูปแบบ มีความเสี่ยงต่อการติดกามโรคมากน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจกรรม กิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรคต่ำได้แก่ การกอดจูบลูบคลำภายนอก การสำเร็จความใคร่ให้กันและกัน กิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ การร่วมเพศทางปาก ทางช่องคลอดและทางทวารหนัก โดยที่การร่วมเพศทางทวารหนักมีการเสี่ยงต่อการติดโรคมากที่สุดเพราะมักมีการถลอกของอวัยวะเพศชายและผิวทวารหนักเป็นช่องทางให้เชื้อกามโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

การใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันกามโรคได้ดีโดยมีเงื่อนไขที่ว่า ต้องมีการใช้อย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่ร่วมเพศ ต้องสวมใส่ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง มีการหล่อลื่นที่ดีเพื่อป้องกันถุงฉีกขาด ถุงยางอนามัยป้องกันกามโรคบางชนิดได้ไม่ดีนัก เช่น หูดหงอนไก่ โรคเริม เพราะอาจติดต่อบริเวณที่สัมผัสได้ โดยเฉพาะส่วนที่ถุงยางคลุมไม่ถึง ถุงยางอนามัยสตรีป้องกันกามโรคได้ดีกว่าถุงยางชาย เพราะมีบริเวณครอบคลุมมากกว่าและฉีกขาดยากกว่า การใส่ถุงยางชายหลายชั้นอาจทำให้การแตกรั่วฉีกขาดยากขึ้น แต่ทำให้ความรู้สึกในการร่วมเพศลดลง

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดอาการได้หลายระดับ มีความรุนแรงตั้งแต่น้อยไปจนถึงอาการรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้แบ่งได้ดังนี้

1) ไม่มีอาการ ได้แก่ โรคเอดส์ระยะแรก โรคตับอักเสบจากไวรัสบีและโรคซิฟิลิส ซึ่งทั้งสามโรคตรวจได้จากการเจาะเลือด ถ้าพบว่าเลือดบวกหมายถึงมีการติดเชื้อ ถ้าได้ผลบวกไม่ได้หมายความว่าไม่ติดเชื้อแต่อาจจะยังอยู่ในระยะแฝงหรือระยะฟักตัว

โรคเอดส์อาจใช้เวลาถึงสามเดือนจึงจะทำให้เลือดเป็นผลบวกได้ ในกรณีที่สงสัยจึงต้องเจาะเลือดตรวจซ้ำหลายครั้ง โรคเอดส์และโรคตับอักเสบจากไวรัสบีในระยะสุดท้ายจะทำให้มีอาการต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายมาก และผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตในที่สุด ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อไวรัส ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เลือดบวก หากผู้ป่วยสามารถดูแลร่างกายให้แข็งแรงและไม่รับเชื้อเพิ่มก็อาจมีสุขภาพเป็นปกติเหมือนคนทั่วไปได้เป็นเวลานาน ๆ ในปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่ใช้ร่วมกันหลายขนานสามารถควบคุมการติดเชื้อไม่ให้กำเริบไปจนมีอาการได้ แต่ยังไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้หายขาด

ซิฟิลิสเป็นกามโรคที่สำคัญในอดีตก่อนที่จะมีโรคเอดส์ แต่ในปัจจุบันยาปฏิชีวนะ สามารถรักษาให้หายขาดได้ หรืออย่างน้อยควบคุมยับยั้งการกำเริบของโรคนี้ได้ ในปัจจุบันจึงไม่แสดงอาการรุนแรงเหมือนในอดีต มักตรวจพบในสตรีที่มาเจาะเลือดขณะฝากครรภ์หรือผู้ป่วยที่เจาะเลือดตรวจก่อนรับการผ่าตัด

2) กลุ่มหนองแท้และหนองในเทียม กลุ่มนี้มีอาการเด่นคือ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศหรือช่องทางที่ร่วมเพศ ในเพศหญิงพบว่ามีหนองไหลออกจากช่องคลอดหรือช่องปัสสาวะและมีอาการแสบเวลาปัสสาวะ ในเพศชายจะมีอาการหนองไหลจากท่อปัสสาวะและมีปัสสาวะแสบขัดลำกล้องมากกว่าในฝ่ายหญิงเนื่องจากท่อปัสสาวะยาวกว่า ในรายที่ร่วมเพศทางปากอาจพบมีการอักเสบและมีหนองในช่องปากและต่อมทอนซิล ในรายที่มีการร่วมเพศทางทวารหนักอาจพบมีหนองปนกับอุจจาระ โดยทั่วไปมักเกิดอาการเหล่านี้ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังการร่วมเพศที่ติดเชื้อ ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะ

3)  กลุ่มที่มีติ่งเนื้อหรือตุ่มนูนที่อวัยวะเพศ โรคที่สำคัญคือ หูดหงอนไก่และหูดข้าวสุก

หูดหงอนไก่เป็นกามโรคที่พบบ่อยในปัจจุบันและมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพราะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันได้ แต่วัคซีนยังมีราคาแพงและควรฉีดก่อนมีการร่วมเพศครั้งแรกเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ทั้งสองโรคจะมีอาการคล้ายกันคือมีตุ่มนูนบริเวณอวัยวะเพศ มักมีหลายตุ่ม ขนาดเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 เซนติเมตร ไม่เจ็บ ยกเว้นจะมีการอักเสบจากการเกา หูดหงอนไก่มีผิวขรุขระเป็นหนาม คล้ายกับหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ

หูดข้าวสุกมีผิวเรียบแต่ละตุ่มมีรูตรงกลางซึ่งเมื่อสุกดีจะบีบของเหลวข้น ๆ ออกจากรูได้คล้ายข้าวสุก ในบางรายติ่งเนื้อหรือตุ่มขนาดเล็กหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ถ้าติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมาก หรือกระจายเป็นวงกว้างการใช้ยารักษาหูดจี้สัปดาห์ละหนึ่งหรือสองครั้งจะได้ผลดี ถ้าใช้ยาเกินหนึ่งเดือนแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์อาจใช้วิธีทางศัลยกรรม เช่น การตัดออก การจี้ด้วยไฟฟ้า การจี้ด้วยความเย็น

กลุ่มอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยังมีอีกหลายประการ ติดตามต่อกันสัปดาห์หน้า.

ผู้ช่วยศาตราจารย์นายแพทย์สัญญา ภัทราชัย
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่มา: เดลินิวส์ 28 กรกฎาคม 2555

.

กลุ่มอาการและวิธีปฏิบัติตัว ในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

กลุ่มอาการที่แบ่งออกตามโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยังมีอีก 3 กลุ่มอาการ ซึ่งต่อจากฉบับที่แล้ว มาติดตามกันต่อเลย

1. กลุ่มอาการที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ โรคที่สำคัญคือเริมและแผลริมอ่อน ทั้งสองโรคมักเกิดมีแผลที่บริเวณอวัยวะเพศประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อ

โรคเริมมักเริ่มมีอาการเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส ๆ ประมาณกลุ่มละ 4–6 ตุ่มจะกระจายอยู่ตามบริเวณผิวหนังที่สัมผัสเชื้อในการร่วมเพศ มีอาการเจ็บและแสบร้อนมากภายใน 1 สัปดาห์ ตุ่มน้ำจะแตกและกลายเป็นแผลตื้น ๆ มีอาการแสบร้อนมาก ในบางรายอาจทำให้อวัยวะเพศบวม บางรายปัสสาวะไม่ออก ในรายที่มีอาการเป็นครั้งแรกมักมีไข้ต่ำ ๆ ร่วมด้วย พร้อมกับมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต กรณีที่มีอาการอ่อนเพลียมากหรือปัสสาวะไม่ออก ควรนอนรักษาในโรงพยาบาลพร้อมให้ยาและน้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ อาการมักหายเป็นปกติภายในสองสามสัปดาห์ แผลหายสนิทโดยไม่มีแผลเป็น (ถ้าไม่มีการอักเสบติดเชื้อจากแบคทีเรียซ้ำเติม) โรคเริมอาจกลับมาเป็นซ้ำได้หลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เช่น ขณะมีประจำเดือน เครียดจัด นอนไม่หลับ ตุ่มน้ำของเริมมักขึ้นบริเวณที่เดิม ในรายที่กลับเป็นซ้ำจะมีอาการไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรก โรคเริมเกิดจากเชื้อไวรัสและยังไม่มียารักษาให้หายขาด มีแต่ยาที่ทำให้อาการทุเลาและหายเร็วขึ้น ในรายที่เป็นซ้ำหลายครั้งในหนึ่งปีอาจต้องใช้ยาต้านไวรัสต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ เชื้อไวรัสเริมติดต่อได้มากในช่วงเวลาที่เริ่มเกิดตุ่มน้ำไปจนถึงแผลหายดีหนึ่งสัปดาห์ ผู้ป่วยจึงควรงดร่วมเพศหรือใช้ถุงยางอนามัยป้องกันในช่วงเวลาดังกล่าว

แผลริมอ่อนต่างจากเริม โดยมักเป็นแผลเดี่ยวขนาดใหญ่ แผลมีก้นลึกและมีหนองที่ก้นแผล ขอบแผลดูเว้าแหว่งเหมือนถูกสัตว์กัดแทะ แผลมีอาการเจ็บมาก ถ้าไม่ได้รับการรักษาแผลมักหายเองภายในสองสามสัปดาห์ โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการฉีดยาครั้งเดียว

2. กลุ่มอาการฝีมะม่วง ฝีมะม่วงคือการอักเสบของกลุ่มต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดโตขึ้นและเจ็บ บางรายมีร่องตรงกลางดูคล้ายผลมะม่วงอกร่อง จึงเรียกว่าฝีมะม่วง ในกรณีที่ฝีสุกและมีหนองภายในมาก ฝีอาจแตกเองได้ ภายหลังฝีแตก แผลมักหายช้า บางรายอาจกินเวลาเป็นเดือน ควรรักษาก่อนที่ฝีจะแตก ไม่ควรผ่าฝี การรักษาที่ถูกต้องคือ แพทย์จะใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังที่ปกติเข้าไปในฝีและดูดหนองออกเพื่อให้ฝียุบตัวลง หลังจากนั้นให้ยาปฏิชีวนะต่ออีกสองสัปดาห์ ฝีมะม่วงเกิดจากเชื้อตัวเดียวกับโรคหนองในเทียมและใช้ยารักษาในกลุ่มยาเดียวกัน

3. กลุ่มอาการตกขาวกลิ่นเหม็นคาวปลา คันหรือตกขาวเป็นก้อน กลุ่มนี้ประกอบด้วยโรคสามโรคคือ การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดทำให้เกิดกลิ่นคาวปลา การติดเชื้อราในช่องคลอดและการติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ทั้งสามโรคเป็นโรคที่ไม่รุนแรง ไม่ทำอันตรายร้ายแรงต่อผู้ติดเชื้อ แต่สร้างความรำคาญโดยเฉพาะในการร่วมเพศ ทั้งสามโรคเกิดจากการเสียความสมดุลของสภาวะในช่องคลอดซึ่งโดยปกติจะมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ระดับหนึ่ง สภาวะในช่องคลอดอาจเสียความสมดุลจากหลายปัจจัย เช่น การสวนล้างช่องคลอดบ่อย ๆ การใช้สิ่งแปลกปลอมสอดใส่ในช่องคลอดบ่อย ๆ การเจ็บป่วยเรื้อรัง การติดเชื้อกามโรค

การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดทำให้เกิดกลิ่นคาวปลาเกิดจากภาวะในช่องคลอดเป็นกรดน้อยลง ทำให้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเจริญผิดปกติ กลิ่นจะรุนแรงในขณะที่มีการหลั่งน้ำอสุจิในการร่วมเพศ ทำให้เกิดความรู้สึกอันไม่พึงประสงค์ โรคนี้สามารถรักษาได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะนาน 2 สัปดาห์ อาจใช้ร่วมกับยาเหน็บช่องคลอด งดการสวนล้างช่องคลอด โรคนี้อาจเป็นซ้ำได้บ่อย ควรรักษาสามีด้วย

เชื้อราในช่องคลอดพบได้บ่อยในคนปกติ บางรายพบจากการตรวจเช็กมะเร็งปากมดลูกประจำปี โดยทั่วไปมักไม่มีอาการยกเว้นในรายที่เป็นมากอาจมีตกขาวปริมาณมากและมีอาการคัน ตกขาวมีลักษณะเป็นก้อน ๆ เหมือนนมบูดหรือนมแหวะออกมาของทารก อาการอาจมากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์เพราะมีเลือดมาเลี้ยงมดลูกและอวัยวะในช่องเชิงกรานมากขึ้น การรักษามียารับประทานทางปากหรือเหน็บทางช่องคลอด

เชื้อพยาธิในช่องคลอดพบได้น้อยกว่าโรค 2 โรคข้างต้น พบได้บ้างในคนปกติ ในรายที่เป็นมากจะมีตกขาวคล้ายหนองเป็นฟองจำนวนมากและมีกลิ่นเหม็น คันช่องคลอด นำตกขาวมาส่องขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบตัวพยาธิรูปร่างเหมือนใบโพธิ์วิ่งไปมาจำนวนมาก สามีมักมีเชื้อพยาธิอยู่ด้วยแต่ไม่มีอาการ การรักษาต้องรักษาทั้งคู่จึงจะหายขาด การรักษาโดยให้ยาครั้งเดียวรับประทานทางปากให้ผลดีมาก

คำแนะนำการปฏิบัติตัวในกรณีเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้ลด ละ เลิก พฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อกามโรค เช่น มีคู่เพศสัมพันธ์หลาย ๆ คน วิธีการร่วมเพศที่ไม่ปลอดภัย เช่น ใช้อุปกรณ์ในการร่วมเพศร่วมกัน ถ้าสงสัยว่าเป็นกามโรคให้มาพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งในการร่วมเพศกับผู้ที่ไม่ทราบว่าปลอดภัยหรือไม่ หนทางที่ดีที่สุดคือพึงพอใจเฉพาะในคู่ของตน ซึ่งจะเป็นการป้องกันการแพร่ของกามโรคที่ดีที่สุด กรณีที่ผู้ป่วยเป็นกามโรคควรพาคู่สมรสหรือคู่เพศสัมพันธ์มาพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อที่อาจแฝงอยู่ ในผู้ป่วยกามโรคบางรายอาจมีโรคมากกว่าหนึ่งโรค ดังนั้นคลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงมีบริการเจาะเลือด ตรวจหาเลือดบวกและเพาะเชื้อจากหนองหรือตกขาวเพื่อค้นหาการติดเชื้อกามโรคในระยะแฝง การรักษาต้องให้การรักษาทั้งคู่จนหายจึงจะมีความปลอดภัยในการร่วมเพศ.

ผศ.นพ สัญญา ภัทราชัย

 

ที่มา: เดลินิวส์  4 สิงหาคม 2555

.

Related Link:

.

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ความสำคัญของการมี “เซ็กซ์” ที่สาวๆ มองข้าม

ขอเรียนก่อนว่า ทีมงานฯ ไม่ได้จะเปิดคอลัมน์วาบหวิวให้ท่านผู้อ่านกลุ่มเป้าหมายเข้าใจผิด แต่เป็นอีกหนึ่งการสอบถามความเห็นของสาวๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 1,031 คนของ HealthyWomen เกี่ยวกับมุมมองของการมีเพศสัมพันธ์ของพวกเธอ โดยสาวๆ เริ่มมองว่า การมีเพศสัมพันธ์นั้น เป็นแค่ “หน้าที่ที่ต้องทำ” มากกว่าจะทำไปเพื่อให้ได้รับความสุขความพึงพอใจกลับมา

ในวันที่หลายประเทศมีปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร รวมถึงประเทศไทย แต่การสำรวจความคิดเห็นสาวๆ บางส่วนกลับพบว่า พวกเธอไม่ค่อยมองเห็นความสำคัญของการมีเพศสัมพันธ์นัก บ้างก็มองว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ โดยเมื่อสอบถามถึงความถี่ของการมีกิจกรรมทางเพศที่ควรจะเป็นจากสาวๆ เหล่านี้พบว่า 66 เปอร์เซ็นต์ระบุว่ามีเพศสัมพันธ์อาทิตย์ละครั้ง หรือบางทีก็ไม่มีเลยก็ได้ ขณะที่ 51 เปอร์เซ็นต์บอกว่า การมีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็ถือว่าดีต่อสุขภาพแล้ว และมีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่าควรจะมีความถี่มากกว่านั้นจึงจะดีต่อสุขภาพ

นอกจากนี้ ผู้หญิง 42 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เชื่อว่า การมีความสุขในเพศรสมีความสำคัญต่อสุขภาพของเธอ

ทั้งนี้ สาวๆ ให้ความสำคัญกับการมีเพศสัมพันธ์เพื่อช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเธอและคนรักเป็นประเด็นใหญ่ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อความพึงพอใจของตนเอง

อย่างไรก็ดี ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางท่านออกมาเผยถึงข้อดีของการมีความสุขกับกิจกรรมทางเพศที่ผู้หญิงจะได้รับนั่นก็คือ การชะลอความแก่ให้ดูอ่อนกว่าวัย

“การที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยให้ดูอ่อนกว่าอายุที่แท้จริงได้ถึง 10 ปี แถมยังช่วยลดความเครียด เผาผลาญแคลอรี ช่วยให้กล้ามเนื้อบางส่วนแข็งแรงขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยให้พวกเธอเกิดความใกล้ชิดกับคนรัก หรือสามีได้มากขึ้นด้วย” Naomi Greenblatt ประธานกรรมการ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษของ women’s health กล่าว

สุดท้ายแล้ว จะมีกิจกรรมทางเพศให้มีความสุขอย่างไรนั้น รบกวนแต่ละครอบครัวพิจารณาตามความเหมาะสมนะคะ

 

ที่มา: ผู้จัดการ  10 พฤศจิกายน 2554