‘เมื่อฉันตรวจพบไวรัสตับอักเสบบี’ ตอนที่ 1
คุณสมพงษ์ หนุ่มใหญ่นักธุรกิจ รู้ว่าเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เฝ้าติดตามห่าง ๆ มานานเพื่อนตัวนี้ก็ไม่ยอมไปไหน ระยะหลังเห็นข่าวคราวเซเล็บหลายต่อหลายคน ทั้ง ดีเจ นักร้อง ตลอดจนนักการเมืองใหญ่โต ป่วยด้วยโรคตับแข็ง หรือไม่ก็มะเร็งตับ ฟังแล้วก็เสียวไปถึงตับ สืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ยิ่งอ่านยิ่งกังวล มีคนแนะนำให้ไปตรวจนับไวรัสในเลือด ลองไปตรวจดูเอง เห็นผลแล้วเครียดหนัก คือมีไวรัสตั้งหกร้อยล้านตัวต่อซีซี นี่ตับฉันเป็นโรงงานผลิตไวรัสหรือนี่กระไร ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต
คนไทยและชาวเอเชียเป็นแหล่งพาหะของไวรัสตับอักเสบบี ประเทศไทยตอนนี้พบประมาณ 3-5 คน ใน 100 คน จะพบน้อยก็เด็กรุ่นใหม่ที่ได้รับวัคซีนตั้งแต่แรกเกิดทั่วประเทศซึ่งเริ่มประมาณปี 2535 ฉะนั้นปัญหาก็จะเป็นกับคนรุ่นที่เกิดก่อนปีนั้น ปัญหาของบ้านเรายังอยู่ที่ไม่มีการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี ผู้คนยังเข้าใจผิดกับเรื่องการติดต่อ ทำให้กลัวคนรังเกียจบ้าง เลยพยายามไม่ไปตรวจ หรือปกปิด ปัญหาใหญ่อีกประการคือ ทั้งคนที่รู้ว่าเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีและแพทย์จำนวนหนึ่ง ยังเข้าใจกับคำว่าพาหะแบบผิด ๆ คือคิดว่าเป็นพาหะแล้วปลอดภัย ไม่เกิดปัญหา หรือมีเชื้ออยู่เฉย ไม่ต้องไปตรวจติดตามก็ได้ จนในที่สุดก็ลืมไป กลับไปหาแพทย์ก็ตอนเป็นมะเร็งตับไปแล้ว
ไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง ซึ่งบ้านเรามักจะติดมาจากมารดาขณะคลอด ทำให้เป็นเรื้อรังไปจนเป็นผู้ใหญ่ คนที่มีตับอักเสบเรื้อรังร่วมด้วยเมื่อปล่อยไปนาน ๆ เข้าโดยไม่ได้รับการรักษา จะเกิดภาวะตับแข็ง ตับแข็งระยะท้ายจนตับวาย และบางคนจะมีมะเร็งตับแทรกซ้อนขึ้นมา ทั้งไวรัสตับอักเสบบีกับไวรัสตับอักเสบซีมีการดำเนินโรคคล้าย ๆ กันตรงที่ ชอบที่จะอยู่แบบเงียบ ๆ เหมือนสนิมกัดกร่อนตับแบบที่เจ้าตัวไม่รู้ แต่เจ้าไวรัสบีตัวร้ายมีนิสัยประหลาดอยู่ที่ เมื่อเวลาผ่านไปจากไวรัสน้อยก็อาจเพิ่มจำนวนขึ้นมามาก ๆ วันดีคืนดีก็ก่อให้เกิดตับอักเสบแบบเฉียบพลันขึ้นมาเฉย มีตั้งแต่เป็นน้อยไม่แสดงอาการชัด แค่รู้สึกเพลีย ๆ ไปจนตาเหลืองตัวเหลือง บางคนถึงขั้นตับวายเสียชีวิต โดยเฉพาะคนที่ไปได้รับยากดภูมิต้านทานเช่น สเตียรอยด์ หรือยาเคมีบำบัด และที่พบบ่อยอีกกลุ่มคือ คนที่ทานยาต้านไวรัสแล้วเกิดเบื่อ แอบหยุดยาไปเอง หรือ เกิดดื้อยาระหว่างการรักษา พอไวรัสเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วจะเกิดภาวะตับอักเสบเฉียบพลันแทรกซ้อนขึ้นมา
ทุกคนที่มีไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรังเกิน 6 เดือน เรียกว่าเป็น “พาหะไวรัสตับอักเสบบี” หรือ มักจะได้ยินคนพูดตามภาษาอังกฤษแบบสั้น ๆ ว่า “แคร์ริเออร์” ตัดมาจากคำว่า Viral hepatitis B carrier แปลว่า มีไวรัสบีอยู่ในร่างกายและสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ แปลแค่นี้ ไม่ได้แปลว่าเป็นพาหะแล้วตัวเองปลอดภัยโดยทั่วไปแบ่งพาหะไวรัสตับอักเสบบีออกเป็น 4 ระยะ คือ
(1) พาหะตอนเด็ก (immune tolerance) ไวรัสในเลือดมากแต่ไม่มีการอักเสบของตับ ต่างคนต่างอยู่
(2) ระยะที่เริ่มมีการอักเสบทำลายไวรัส (immune clearance) ระยะนี้ภูมิต้านทานของร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้นจึงไปทำลายไวรัสในตับทำให้เกิดตับอักเสบขึ้น เกิดขึ้นตอนเข้าสู่วัยรุ่นหรือบางคนยาวไปจนอายุยี่สิบกว่าปี ถ้าทำลายไวรัสสำเร็จจะเข้าสู่ระยะที่สาม แต่ถ้าทำลายไวรัสไม่ได้สักทีหลายปีไม่ยอมหายเราเรียกว่า ตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบี ระยะอีบวก [แพทย์ใช้อีโปรตีน (HBeAg) เป็นตัวแบ่งระยะโรค] ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม หลายคนจะตามมาด้วยภาวะตับแข็งและมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง
(3) ระยะพาหะชนิดเชื้อน้อย (inactive carrier) ภูมิต้านทานของร่างกายควบคุมไวรัสได้สำเร็จ จนไวรัสในเลือดลดลงมากจนน้อยกว่า 10,000 ตัวต่อซีซี (copies/mL) หรืออาจจะใช้หน่วยเป็นน้อยกว่า 2,000 ยูนิตต่อซีซี (IU/mL) ซึ่งระยะนี้จะไม่มีการอักเสบของตับ โดยค่า SGOT/SGPT จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ ผู้ที่อยู่ในระยะนี้ และคงอยู่อย่างนี้ไปนาน ๆ โอกาสกลายเป็นตับแข็งจะน้อยกว่าระยะอื่น โอกาสการเป็นมะเร็งตับก็น้อยกว่าระยะอื่น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มีโอกาสเป็นมะเร็งตับ ผู้ที่อยู่ในระยะนี้บางคน ภูมิของร่างกายดีขึ้นไปอีกจนกำจัดไวรัสได้เกือบราบคาบ จนไวรัสหายไป [ตรวจผิวไวรัสบีเป็นลบ (HBsAg)] บางคนเกิดภูมิต้านทานต่อไวรัสบี (AntiHBs) ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเราเห็นกันได้บ่อย ๆ ว่าทำไมคนบางคนไปตรวจเช็กเลือดแล้วพบว่าตัวเองมีภูมิต้านทานไวรัสบีอยู่แล้วทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปฉีดวัคซีนมาก่อน บางท่านไวรัสนอนนิ่งอยู่นานอยู่ดี ๆ ก็เพิ่มจำนวนขึ้นเข้าสู่ระยะต่อไปคือ
(4) ระยะตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี ชนิดอีลบ (immune reactivation) คือไวรัสเกิดหาหนทางสำเร็จในการดื้อต่อภูมิของร่างกาย เปลี่ยนแปลงร่างจนภูมิของร่างกายควบคุมไว้ไม่ได้ ไวรัสเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในที่สุดก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบขึ้นมาใหม่ แพทย์ใช้คำว่า “อีลบ” ต่อท้ายเพื่อแบ่งระยะโรคว่าแตกต่างกับระยะที่สองที่เรียก “อีบวก” โดยดูจากโปรตีนอี (HBeAg) เป็นลบในเลือด เช่นเดียวกับระยะที่สอง ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาตับก็จะถูกทำลายไปเรื่อย ๆ จนเกิดภาวะตับแข็งและมะเร็งตับได้ ที่สาธยายมานี้ก็เพื่อผู้อ่านบางท่านที่อยากจะรู้ลึกและเข้าใจโรคมากขึ้น แต่ผู้ที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องใส่ใจมากเพราะจะเครียดไปเปล่า ๆ แค่เป็นโรคก็เครียดพอแล้ว
เอาเป็นว่าใครก็ตามที่เข้าสู่วัยอายุยี่สิบกว่า ๆ ก็สมควรเข้าสู่ระยะที่ (3) ระยะพาหะเชื้อน้อย คือมีไวรัสในเลือดน้อยกว่า 10,000 ตัวต่อซีซี ร่วมกับไม่มีภาวะตับอักเสบ (SGOT/SGPT อยู่ในเกณฑ์ปกติ) ถ้าอยู่ในระยะนี้ จะปลอดภัยกว่าระยะอื่น ไม่ต้องให้ยารักษา เอาแค่ติดตามกับแพทย์อย่างต่อเนื่อง คอยระวังไวรัสตื่นขึ้นมาใหม่ หรือ คอยระวังมะเร็งตับ แต่อย่าไปเครียดมาก คิดเสียว่าไวรัสเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เมื่อไหร่ไวรัสมันเบื่อ ก็อาจจะยอมถอยร่นหายไปจากตับตามที่ได้กล่าวมา อย่าลืมต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้ผ่องใส ภูมิต้านทานจะได้แข็งแรงไปช่วยกำจัดไวรัสที่หลงเหลืออยู่ บางท่านเล่าว่า เขาแผ่เมตตาให้มันบ่อย ๆ ขู่มันเป็นพัก ๆ บอกไวรัสว่า ถ้ามาเล่นงานจนเขาเป็นอะไรไป ไวรัส! เจ้าก็จะไม่มีที่อยู่ที่กินนะ จะบอกให้
ใครก็ตามเมื่อวัยยี่สิบกว่า ๆ แล้ว ไวรัสมีจำนวนมากกว่า 10,000 ตัวต่อซีซี โดยมากจะมีไวรัสเป็นหลายแสน หลายล้าน หลายร้อยหลายพันล้าน ซึ่งถ้าติดตามผลเลือดเป็นระยะ ๆ ก็จะพบค่าการอักเสบสูงเกินค่าปกติ (คนที่ไวรัสเกินหนึ่งหมื่นถึงแสนต้น ๆ มักไม่มีตับอักเสบ) คนอยู่ในเกณฑ์นี้แล้วไวรัสไม่ยอมลดลงเอง ควรพิจารณาให้การรักษา ซึ่งต้องพิจารณาหลายปัจจัยร่วมด้วย ดังนั้นต้องปรึกษาแพทย์ผู้รู้และปรึกษาตนเองหลังได้คุยกับแพทย์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าสมควรรักษาหรือยัง หรือจะเลือกการรักษาด้วยวิธีใด
การรักษาไวรัสตับอักเสบบี ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลร้ายที่กล่าวข้างต้น คือ ตับอักเสบ ตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ มีทั้งงานวิจัยและประสบการณ์ตรงยืนยันแน่ชัดว่า แม้ตับเข้าสู่ระยะตับแข็งและตับเริ่มวายไปแล้ว พอได้ยาต้านไวรัส กดไวรัสไม่ให้โงหัวขึ้นมา ผ่านไประยะหนึ่ง ตับจะฟื้นตัวกลับมาทำงานปกติ พังผืดและตับแข็งก็หายได้ ในงานวิจัยเดียวกันในผู้ป่วยตับแข็ง ก็มีตัวเลขทางสถิติชี้บ่งว่า โอกาสการเกิดมะเร็งตับก็ลดลง ฉะนั้นเมื่อมีข้อบ่งชี้ว่าควรรักษาก็ต้องรักษา
การให้ยารักษาไวรัสตับอักเสบบี มีหลักในการหายอยู่สองประเภทคือ การหายระยะที่หนึ่ง คือรักษาให้โรคกลับเข้าสู่ระยะที่สามคือ ให้กลับเข้าสู่ระยะพาหะเชื้อน้อย หรือไวรัสน้อย ๆ และตับไม่อักเสบ เท่านี้ก็เรียกว่าดีมากแล้ว ผู้รับการรักษาอย่างน้อยถ้าจะหวังก็หวังแบบนี้เป็นแบบแรก การหายระยะที่สอง คือ รักษาจนไวรัสหมดไปคือ ผิวไวรัส (HBsAg) เป็นลบ และบางคนถึงขั้นเกิดภูมิต้านทานไวรัสขึ้น (AntiHBs) โอกาสถึงระยะนี้อาจจะประมาณ 3-5 คนต่อ 100 คน (เมื่อรักษาด้วย อินเตอร์เฟียรอน)
ก่อนการรักษาแพทย์จะมีการตรวจวัดสิ่งต่าง ๆ หลายประการ ได้แก่ ตรวจเลือด นับจำนวนไวรัส (Hepatitis B viral load) ตรวจค่าการทำงานตับ ตรวจนับเม็ดเลือด (CBC) ตรวจค่ามะเร็งตับ (AFP) ตรวจค่าการแข็งตัวของเลือด (INR) ตรวจโปรตีนอีของไวรัส (HBeAg) ภูมิต่อโปรตีนอี (AntiHBe) และ ปริมาณผิวของไวรัส (HBsAg quantitative) นอกจากนี้จะมีการตรวจเพื่อดูเนื้อตับว่าเป็นอย่างไรด้วยการทำอัลตร้าซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือ ตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และ ปัจจุบันมักจะตรวจวัดความหนาแน่นของตับ (liver stiffness) เพื่อบอกว่าตับมีพังผืดมากน้อยอย่างไร แข็งหรือยัง และบางกรณีจะมีการตรวจเนื้อตับโดยตรงด้วยการเจาะตับ (liver biopsy) อ่านถึงตรงนี้คงขวัญหนีดีฝ่อเมื่อได้ยินคำว่าเจาะตับ อย่ากังวลไป ปัจจุบันมักไม่ใช้การเจาะตับกับทุก ๆ คน จะทำเมื่อมีข้อบ่งชี้ หรือใช้ช่วยการตัดสินใจในการรักษา
ข้อมูลจาก นายแพทย์ ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ และ นายแพทย์สมบัติ ตรีประเสริฐสุข ศูนย์โรคตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ที่มา: เดลินิวส์ 21 ธันวาคม 2557