“กระเทียม-มะนาว”เพิ่มรสเค็มอาหาร

matichon141205_01น.ส.ชุษณา เมฆโหรา นักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า จากการดำเนินโครงการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงสมุนไพรไทย

สำหรับการเตรียมอาหารลดโซเดียมโดยใช้เทคนิคด้านกลิ่นรสจากสมุนไพรไทย ภายใต้การสนับสนุนของเครือข่ายลดบริโภคเค็ม เพื่อศึกษาคุณสมบัติด้านกลิ่น รสของสมุนไพรไทยต่อการปรับลดปริมาณโซเดียม โดยศึกษากลิ่นรสสมุนไพรไทย 14 ชนิด ต่อการรับรสเค็มในน้ำซุป

ได้แก่ ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า ผักชีฝรั่ง สะระแหน่ โหระพา พริกขี้หนู กระเทียม พริก มะนาว หอมแดง ผักชี ต้นหอม และขิง

พบว่า กลิ่นรสของกระเทียมและมะนาวช่วยเพิ่มการรับรสเค็มในน้ำซุปได้ดีขึ้น หมายความว่า แม้จะใส่เกลือในปริมาณน้อยแต่ก็สามารถทำให้รู้รสเค็มได้ ส่วนกลิ่นรสของพริก ผักชีฝรั่ง โหระพา ใบมะกรูด และหอมแดงสามารถเพิ่มการรับรสเค็มได้เล็กน้อย

“กระเทียมและมะนาวหากนำมาใช้ปรุงรสอาหารจะช่วยชูรสเค็มทำให้ลดปริมาณเกลือที่ใช้ในการปรุงอาหารได้เพราะหากใส่กระเทียมหรือมะนาวร่วมด้วยจะทำให้สามารถรับรู้รสเค็มได้โดยไม่ต้องใส่เกลือในปริมาณที่มากทำให้คนกินรู้รสเค็มแต่ใช้เกลือไม่มากซึ่งผลที่ได้น่าจะเกิดจากกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัวของสมุนไพรที่ช่วยเสริมการรับรสเค็มให้เด่นชัดขึ้น”น.ส.ชุษณากล่าว

matichon141205_02และว่าจากผลการวิจัยนี้ ได้นำสมุนไพรที่มีศักยภาพมาพัฒนาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงสมุนไพร 4 รสชาติ ได้แก่ ผงปรุงรสกระเทียมและสมุนไพร ซอสผัดสไปซี่ เพลสท์สมุนไพรไทย และผงปรุงรสแซบอีสาน ซึ่งสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนู มีปริมาณโซเดียมอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับการบริโภค และผ่านการทดสอบความชอบและการยอมรับจากผู้บริโภคอยู่ในเกณฑ์ชอบปานกลางถึงชอบมาก ทั้งนี้ สถาบันพร้อมที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้ที่สนใจ

ที่มา: มติชน 20 ธันวาคม 2557

กินว่านชักมดลูกดีไหม ?

dailynews141116_01ปัจจุบันนี้มีการนำว่านชักมดลูกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ขายกันอย่างกว้างขวาง และได้รับความนิยมจากคนที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ส่วนจะมีคุณหรือมีโทษอย่างไรนั้นไปฟังคำตอบกัน

ภญ.ดร.สุภาพร ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร อธิบายว่า ว่านชักมดลูก มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า ว่านชักมดลูกตัวเมีย ว่านทรหด ว่านหำหด

ว่านชักมดลูก เป็นสมุนไพรที่อยู่ในตระกูลขมิ้น มีสรรพคุณในตำราไทย คือ ใช้เหง้าว่านชักมดลูกรักษาอาการของสตรี เช่น แก้มดลูกพิการ ทำให้มดลูกเข้าอู่ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน ตกขาว ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย ริดสีดวงทวาร และไส้เลื่อน

เดิมว่านชักมดลูกเป็นสมุนไพรพื้น ๆ ที่หมอยาพื้นบ้านจะใช้รักษาอาการข้างต้น แต่ปัจจุบันนี้มีการนำว่านชักมดลูกทำเป็นผลิตภัณฑ์ขายกันอย่างกว้างขวาง จนกระทั่ง ศ.ดร.ภาวิณี ปิยะจตุรวัฒน์ ได้ทำการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชและพิษวิทยา พบว่า ว่านชักมดลูกที่ขายในตลาดมีอยู่หลายสายพันธุ์ แยกได้เป็นพันธุ์ตัวเมีย และพันธุ์ตัวผู้

ว่านชักมดลูกตัวเมีย มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์กับผู้หญิงวัยทอง เนื่องจากมีสารที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ส่วนว่านชักมดลูกตัวผู้ จะมีพิษต่อตับ ไต ม้าม แถมยังไม่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือมีน้อยมากอีกด้วย

ซึ่งการนำว่านชักมดลูกมาใช้นั้น ก็ค่อนข้างมีวิธีการที่ละเอียดอ่อน เช่น การเก็บว่านชักมดลูก ต้องเก็บในฤดูแล้ง ประมาณเดือน 11 แรม 1 ค่ำ ไปถึงกลางเดือน 3 ถ้าฝนตกแล้ว สรรพคุณจะน้อย ใช้รักษาไม่ค่อยได้ผล การต้มว่านชักมดลูก ต้องต้มจนฟองยุบลง จึงจะใช้ได้ ถ้ายังไม่ยุบแสดงว่าใช้ไม่ได้ ทำให้เกิดอาการเมาเบื่อ การใช้ว่านชักมดลูกเพื่อให้มดลูกเข้าอู่ แม่หลังคลอดต้องรอให้มีน้ำนมก่อนจึงจะใช้ได้

แม่หมอในสามจังหวัดภาคใต้ เล่าว่า ว่านชักมดลูกช่วยกระชับหน้าท้องที่หย่อนคล้อยหลังคลอด ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว รักษาอาการปวดประจำเดือนมาไม่ปกติ ขับประจำเดือน รักษาอาการตกขาวในสตรีให้ดีขึ้น แต่ไม่แนะนำให้รับประทานติดต่อทุกวัน อาจจะเว้นวันบ้าง ส่วนหมอยาภาคกลาง ภาคอีสาน และพ่อหมอแม่หมอเมืองเลย ใช้ว่านชักมดลูกรักษาอาการมดลูกหย่อนหลังคลอดลูก แก้ริดสีดวงทวาร เป็นยาแก้ตกขาว

คนที่กินผลิตภัณฑ์ว่านชักมดลูก คงไม่สามารถรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่วางขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด เป็นว่านชักมดลูกตัวผู้หรือตัวเมีย จึงมีข้อแนะนำคือ ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานและกินในปริมาณมากจนเกินไป เพราะจากข้อมูลในสัตว์ทดลองแม้จะเป็นว่านชักมดลูกตัวเมียหากกินในปริมาณมาก ๆ ก็อาจจะทำให้มีปัญหาได้เหมือนว่านชักมดลูกตัวผู้ เพียงแต่พิษจะไม่รุนแรงเท่า

ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์จำนวนมากจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาด ยาตัวนี้ในตำรายาโบราณไม่ใช่ยาที่ต้องกินเป็นประจำ ควรกินแค่บรรเทาอาการขณะที่เป็นแล้วก็หยุด หรือกิน ๆ หยุด ๆ ดีที่สุดคือช่วงหลังคลอด ไม่ใช่กินติดต่อกันเป็นเวลานาน เนื่องจากเป็นยาร้อน หากกินแล้วช่องคลอดแห้ง ผิวแห้งควรหยุดกิน แต่ถ้าประจำเดือนไม่มา ไม่สบายก็กินได้เป็นครั้งคราว พออาการหายก็หยุด

จะรู้ได้อย่าง ไรว่าผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาดใช้ว่านชักมดลูกตัวเมียหรือตัวผู้ในการผลิต ภญ.ดร.สุภาพร ปิติพร กล่าวว่า ไม่สามารถรู้ได้ ถามว่ากินได้ไหมก็กินได้ เมื่อมีอาการ และอาจจะต้องตรวจการทำงานของตับเป็นระยะ ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะมีการโฆษณาในเรื่องนี้มากจนเกินไป

สรุปว่า ผลิตภัณฑ์ว่านชักมดลูกคุณผู้หญิงซื้อหามากินได้ แต่อย่ากินต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรกินเมื่อมีอาการตามข้อบ่งชี้เท่านั้น เมื่ออาการดีขึ้นก็ควรหยุดกิน เพียงเท่านี้รับรองว่ามีความปลอดภัยอย่างแน่นอน.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน

ที่มา: เดลินิวส์ 16 พฤศจิกายน 2557

สาวๆฮือฮา หญ้ารีแพร์ คืนวัยสาว

manager140819_01

ใช้เผารมควัน ช่องคลอดฟิต รพ.ดังการันตี

แพทย์แผนไทยเปิดตัวสมุนไพร “หญ้ารีแพร์” หรือ “หญ้าฮียุ่ม” สรรพคุณช่วยกระชับช่องคลอด หญิงที่ผ่านการมีบุตรให้กลับมามีความฟิตกระชับ แค่นำมาตากแห้งแล้วเผา นั่งรมแค่ 2-5 วัน รวมถึงต้มกินกระชับผิวพรรณ ระบุชาวบ้านใช้กันมานานกว่า 30 ปี เตรียมทำวิจัยต่อยอด ขณะเดียวกันก็จัดงาน “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 11” เผยสารพัดตำรับในการดูแลสุขภาพสำหรับผู้หญิง

ข่าวดีสำหรับสุภาพสตรีในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค. นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนา การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 11” ภายใต้แนวคิดการแพทย์แผนไทย หัวใจการดูแลสุขภาพ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 3-7 ก.ย.นี้ ที่ฮอลล์ 6-8 อิมแพค เมืองทองธานี ว่าภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการต่างๆมากมาย โดยเฉพาะตำรับสำหรับผู้หญิง เช่น เปิดตำรับลับสุดยอด, ภูมิปัญญาไทยหญ้ารีแพร์หรือหญ้าฮียุ่ม คืนความสาวให้สาวทันใจ, จีผาแตก ไม่แปลกที่หงส์เหนือมังกร, แม่ฮ้าง 32 ผัว, พลังหญิงที่ชายกริ่งเกรง และการทำยาสมุนไพรดูแลแม่หญิง เป็นต้น

ขณะที่เภสัชกรหญิงผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวถึงหญ้ารีแพร์หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหญ้าฮียุ่ม ว่าหญ้าดังกล่าวเป็นหญ้าที่มีสรรพคุณช่วยในการกระชับช่องคลอด ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอดของหญิงหลังคลอด หรือในหญิงที่มีปัญหาช่องคลอดหย่อนยานไม่กระชับก็สามารถใช้หญ้าดังกล่าวช่วยคืนสภาพให้ช่องคลอดกลับมามีความกระชับเหมือนวัยแรกสาวอีกครั้ง ทั้งนี้วิธีการทำให้ช่องคลอดกลับมากระชับเหมือนเดิม ทำได้ด้วยการนำหญ้าดังกล่าวไปตากแดดให้แห้งหลังจากนั้นก็นำหญ้าประมาณหนึ่งกำมือมาเผาร่วมกับไม้ผุหรือถ่านจนเกิดควัน แล้วก็นำหญ้าที่เผาจนเกิดควันมาวางไว้ใต้เก้าอี้ที่ผ่านการเจาะรูเป็นวงกลม หลังจากนั้นหญิงที่ผ่านการคลอดบุตรหรือหญิงที่ต้องการยกกระชับช่องคลอดและมดลูก ก็มานั่งลงบนเก้าอี้เพื่อรมกระชับช่องคลอดได้เลย ส่วนระยะเวลาในการรมนั้นจะรมจนกว่าควันจะหมด ทั้งนี้ ในการรมควันจะทำติดต่อกันประมาณ 2-5 วัน แล้วแต่กรณีไป นอกจากนี้ หญ้าดังกล่าวยังสามารถนำมาต้มกินเพื่อให้ผิวพรรณกระชับ ช่วยทำให้บาดแผลเกิดการกระชับเร็วขึ้นอีกด้วย เนื่องจากหญ้าดังกล่าวเป็นพืชตระกูลเดียวกับไผ่สามารถพบได้ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ แต่โดยส่วนใหญ่จะชอบขึ้นในที่แดดรำไร

เภสัชกรหญิงผกากรองกล่าวต่อว่า สำหรับชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Centotheca lappacea (L.) Desv.วงศ์ Poaceae หรือพฤกษศาสตร์หญ้ายุ่ม ซึ่งหญ้าดังกล่าวมีการใช้มานานกว่า 30 ปีแล้ว โดยจากการเก็บข้อมูลจากหมอพื้นบ้านก็มีการใช้หญ้านี้ในการรักษาผู้ป่วยเช่นกัน ทั้งนี้จำนวนผู้ที่ใช้เท่าที่ทราบแน่ๆมีประมาณ 30 คน แต่คาดว่ามีคนใช้เยอะกว่านี้มากเพียงแต่ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลไว้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยรองรับแต่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็ไม่เคยพลาดเพราะมีการตรวจสอบแล้ว ที่ผ่านมายาและสมุนไพรหลายชนิดของ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็มีที่มาในลักษณะนี้และนำมาต่อยอดต่อเช่นกัน ซึ่งถือว่าหญ้าดังกล่าวเชื่อถือได้ ทั้งนี้แม้แต่ในยุโรปก็ยังมีการยอมรับและมีข้อยกเว้นว่าหากสมุนไพรตัวใดผ่านการใช้มาตั้งแต่ 30-50 ปี ก็ไม่ต้องมีงานวิจัยรองรับก็ได้ อย่างไรก็ตาม รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรคงนำหญ้าดังกล่าวมาต่อยอดการผลิตและอาจมีการทำวิจัยร่วมด้วย ทั้งนี้หากหน่วยงานใดต้องการทำวิจัยก็ไม่มีการหวงห้ามแต่อย่างใด

ด้านนางพุทธพร คูณสุข อายุ 56 ปี ผู้มีประสบการณ์ในการใช้หญ้ารีแพร์หรือหญ้าฮียุ่ม กล่าวว่า ตนเคยใช้หญ้าดังกล่าวในการรักษาแผลและกระชับช่องคลอด เนื่องจากภายหลังจากคลอดลูกมาแล้วก็เกิดมีอาการแผลอักเสบปวดต้องไปหาหมอ รักษาแผล 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่หาย ญาติผู้ใหญ่สังเกตเห็นว่านั่งให้นมบุตรไม่ได้เพราะมีอาการเจ็บ จึงไปเก็บหญ้าดังกล่าวมาให้ใช้ โดยในการรมควันนั้นจะใช้ระยะเวลาประมาณ 30 นาที และภายหลังจากรมควันเสร็จรู้สึกว่าช่องคลอดกระชับขึ้นแผลที่เคยปวดก็ดีขึ้น เมื่อนอนตอนกลางคืนก็ไม่มีอาการปวดแผลอีกเลย ซึ่งตนทำอยู่ 2 วัน อาการอักเสบของแผลก็หายดีและยังรู้สึกว่าช่องคลอดตึงขึ้น

“อยากฝากถึงหญิงที่คลอดลูกหรือมีอาการมดลูกไม่กระชับหย่อนยาน ให้ลองไปหาหญ้าดังกล่าวมาใช้ เพราะใช้ดีจริงๆ แม้แต่แฟนยังบอกว่าตึงกระชับ และจริงๆแล้วแฟนชอบเรียกหญ้าดังกล่าวว่าหญ้ากระชับพื้นที่ และหญ้าดังกล่าวก็หาง่ายมีปลูกทั่วไปตามไร่ตามสวน จากการที่ได้คุยกับทางรพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรยังทราบมาด้วยว่าอาจมีการนำหญ้าดังกล่าวมาพัฒนาใช้ในการรักษาแผลที่เกิดจากสะเก็ดระเบิดอีกด้วย” นางพุทธพรกล่าว

 

ที่มา: ไทนรัฐ 20 สิงหาคม 2557

“กระจับ” สมุนไพรแห่งการบำรุง

bangkokbiznews140822_01เมื่อพูดถึงต้น “กระจับ” หลายๆ คนอาจไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น และไม่เคยได้ยินว่ามีต้นไม้ชื่อแปลกๆ ชนิดนี้ด้วยหรือ กระจับ เป็นพืชน้ำ ส่วนใหญ่อยู่ใต้น้ำ โผล่ใบขึ้นมาเหมือนต้นบัว นับว่าเป็นไม้น้ำที่น่าสนใจมากชนิดหนึ่ง เพราะมีรูปร่างประหลาด มีผลหน้าตาเหมือนเขาควาย เด็กๆ ชอบเอามาต้มกิน หรือนำมาเป็นของเล่น เขาควิดกัน

“กระจับ” มีชื่อวิทยาศาสตร์ Trapa bicornis . อยู่ในวงศ์ TRAPACEAE มีชื่อตามท้องถิ่นเรียกต่างๆ ว่า เขาควาย มะแงง ม่าแงง พายับ เป็นต้น กระจับเป็นพืชน้ำล้มลุกอายุหลายฤดู ลักษณะเป็นกอลอยน้ำ ใบมี 2 แบบ คือ ใบใต้น้ำเป็นเส้นยาวคล้ายราก ส่วนใบลอยน้ำมีลักษณธะคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ขอบใบแหลม ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ด้านล่างมีสีแดง ก้านใบยาว ตรงกลางพองออก ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีขาว ออกที่โคนก้านใบ มีกลีบดอก 4 กลีบ บานเหนือน้ำ เมื่อเป็นผลจะจมลงใต้น้ำ ผลหรือฝักกระจับมีสีดำขนาดใหญ่ เปลือกหนาแข็งเขางอโค้งคล้ายเขาควาย เนื้อในสีขาว ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ

กระจับ มีสรรพคุณทางยาที่สำคัญ คือ เป็นยาบำรุงของทั้งเด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย ผู้สูงอายุ และคนหลังฟื้นไข้ เนื่องจากเด็กต้องการการเสริมสร้างเนื้อเยื่อ เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อเป็นรากฐานของสุขภาพที่ดีในภายภาคหน้า ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย กระจับ ช่วยสร้างน้ำอสุจิในผู้ชายและสร้างไข่และผนังมดลูกในผู้หญิง ซึ่งล้วนเป็นกลไกของเสมหะ กระจับที่บำรุงเสมหะจึงทำหน้าที่สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสืบพันธุ์ของทั้งสองเพศ นอกจากนี้ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่ากระจับช่วยบำรุงผู้สูงอายุ บำรุงกำลังคนไข้ ฟื้นฟูลำไส้หลังอาการท้องเสีย แก้อ่อนเพลีย แก้เมาค้าง

และนอกจากมีฤทธิ์ทางบำรุงแล้วกระจับยังมีสรรพคุณไปในทางดับพิษร้อน เช่น การมีประจำเดือนมาก แก้ร้อนในกระหายน้ำ โดยเฉพาะการกินกระจับอ่อนสดๆ เป็นต้น

สรรพคุณที่สำคัญและโดเด่นที่สุดของ “กระจับ” คือ เป็นยาบำรุงครรภ์ บำรุงน้ำนม ผู้หญิงเป็นผู้ดูแลชีวิต ชีวิตเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ของมารดา ผู้เป็นมารดาจะคอยระมัดระวังการใช้ชีวิต การกินยา กินอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้มีผลกระทบมาถึงลูกในท้อง ทั้งยังแสวงหาอาหารที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติในการบำรุงทารกในครรภ์ และเมื่อลูกคลอดออกมาก็ต้องมีน้ำนมอันสมบูรณ์ให้ลูกดื่มกิน ซึ่งพืชพรรณที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ต้องมีสารอาหารและความปลอดภัยสูง ในตำรายาไทยจัดให้ “กระจับ” เป็นหนึ่งในนั้น ที่พิเศษคือ กระจับบำรุงทารกในครรภ์และบำรุงน้ำนม ในมุมของการแพทย์แผนไทยกระจับมีคุณสมบัติ หวาน เย็น ช่วยบำรุงเนื้อหนังให้บริบูรณ์ หรือบำรุงทางเสมหะ ซึ่งเป็นกลไกของการเสริมสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้ทารกเจริญเติบโตได้ดี ทำให้แม่มีน้ำนมเลี้ยงลูก

ในความเป็นผู้หญิงที่จะต้องเป็นแม่ ภรรยา และผู้ดูแลคนในบ้าน สุขภาพของคนในบ้านอยู่ในมือเรา ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การบำรุงครรภ์เหลือเพียงยาบำรุงเลือดที่รับจากคลินิกฝากครรภ์ อาหารการกินเพื่อบำรุงนั้นอยู่ในแคปซูลของบริษัทผลิตอาหารเสริม เพียงหันกลับมามองชะลอมใส่ฝักสีดาหน้าตาประหลาด อาจคืนพลังอำนาจในการบำรุงสุขภาพ ที่ผู้หญิงจะนำคืนมาให้ครอบครัว กระจับ จึงเป็นอาหารของการบำรุงที่ควรค่าแก่การบริโภค

ตำรับยา

ยาบำรุงกำลังกระจับสำหรับชาย-หญิง

นำผลกระจับ 100 ผล ต้มน้ำทิ้งไว้ให้เย็น ปลอกเปลือกออก นำเปลือกตากแดดให้แห้ง ตำผลใส่ในขวดแก้วไว้ นำผงยา 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ผสมกับน้ำผึ้ง น้ำตาล นม ดื่มวันละ 1 ครั้ง ทุกๆ วัน

ตำรับอาหาร

กระจับต้มสามารถนำมาปลอกเปลือกต้มกินเล่นเป็นของว่าง นำมาทำเป็นของหวานกิน เช่น กระจับต้มน้ำขิง กระจับน้ำแข็งใส กินร่วมกับเมล็ดบัว มะพร้าวอ่อน ใส่น้ำหวานน้ำแข็งกินเป็นของหวาน และยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้ เช่น กระจับต้มซี่โครงหมู กระจับผัด และกระจับผัดพริกกุ้งนาง

ใครที่ยังไม่เคยเห็นและอยากเห็น สามารถร่วมชมและเรียนรู้เรื่องราวกระจับและสมุนไพรอื่นๆ ได้ที่ บูธกิจกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในงานมหกรรมสมุนไพรครั้งที่ 11“การแพทย์แผนไทยหัวใจดูแลสุขภาพ” ในระหว่างวันที่ 3 – 7 กันยายนนี้ ณ อาคาร 6 – 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

 

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ 22 สิงหาคม 2557

สมุนไพร vs ลิ่มเลือดอุดตัน โดย โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

Credit : wikipedia.org

Credit : wikipedia.org

ยาละลายลิ่มเลือด คือ ยาที่มีชื่อว่า วาร์ฟาริน (Warfarin) หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ซึ่งแพทย์มักสั่งใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน หัวใจเต้นผิดปกติ หรือผู้ที่ทำการผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียมเพื่อป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดไหลไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น สมอง ถ้าขาดเลือดไปเลี้ยงก็อาจทำให้เป็นอัมพาต, หัวใจ หากมีลิ่มเลือดไปอุดตันก็อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายได้

ส่วนยาแอสไพริน (Aspirin) นั้น ความจริงแล้วไม่ใช่ยาละลายลิ่มเลือดอย่างที่หลายๆ ท่านอาจเข้าใจหรือเรียกผิดไป แต่แอสไพรินเป็นยาป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ซึ่งแพทย์มักสั่งใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคเรื้อรังอย่าง เบาหวาน ไขมัน ความดัน เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ หรือในรายที่เป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจแล้ว ก็สามารถรับประทานยานี้เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรคได้

สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาวาร์ฟาริน จะมีการติดตามการรักษาและมีการปฏิบัติตัวที่เคร่งครัดกว่าการรับประทานยาแอสไพริน เนื่องจากเป็นยาที่มีช่วงการรักษาแคบ หมายความว่า ถ้ารับประทานยาน้อยไปการรักษาก็จะได้ผลไม่ดี ทำให้ผู้ป่วยยังคงมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดที่เป็นอันตรายเหมือนกับไม่ได้รับประทานยา แต่ถ้ารับประทานยามากเกินไปก็จะเกิดปัญหาเลือดออกง่าย เนื่องจากเลือดไม่ยอมแข็งตัว โดยแพทย์จะนัดดูผลเลือด เรียกว่า ค่าไอเอ็นอาร์ (INR) ว่าผู้ป่วยได้รับยาในขนาดที่เหมาะสมตามค่าเลือดที่ต้องการหรือไม่

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการรับประทานยาวาร์ฟาริน คือ การรับประทานยาวาร์ฟาริน ร่วมกับยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายชนิด ที่มักเกิดการตีกัน ส่งผลต่อระดับยาวาร์ฟารินในเลือดไม่คงที่หรือผิดปกติไป โดยสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ส่งผลต่อระดับยาวาร์ฟาริน และผู้ที่ใช้ยาควรระมัดระวัง มีดังนี้

สมุนไพรที่เพิ่มผลยาวาร์ฟารินและแอสไพริน ได้แก่ กระเทียม ขิง ขมิ้นชัน แปะก๊วย วิตามินอี น้ำมันปลา ตังกุย และโสม

สมุนไพรที่ลดผลของยาวาร์ฟาริน ได้แก่ ผักใบเขียว (ผักใบเขียวมีวิตามินเคสูง ซึ่งวิตามินเคช่วยทำให้เลือดแข็งตัว) ชาเขียว โคเอ็นไซม์คิวเทน และโสม

สำหรับโสมนั้น มีทั้งรายงานที่เพิ่มฤทธิ์ยาวาร์ฟารินและลดฤทธิ์ยาวาร์ฟาริน

แต่อย่างไรก็ตาม สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กล่าวถึงนั้น ให้ระมัดระวังในท่านที่รับประทานในรูปแบบสารสกัด หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนการรับประทานในรูปแบบผักหรือที่ไม่ใช่สารสกัดก็สามารถรับประทานได้ สำหรับท่านที่มีความต้องการรับประทานในรูปแบบสารสกัดหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ เพื่อติดตามค่าเลือดว่ายังอยู่ในช่วงการรักษาที่เหมาะสมหรือไม่

การรับประทานสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในผู้ป่วยที่รับประทานยาแอสไพริน ไม่ได้มีข้อควรระวังเท่ากับผู้ป่วยที่รับประทานยาวาร์ฟาริน ยกเว้นในรายที่เสี่ยงจะเกิดเลือดออกง่าย เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยสูงอายุ อาจมีการติดตาม หรือสังเกตว่ามีอาการอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ถ่ายดำ ปัสสาวะมีสีคล้ำ ไอหรืออาเจียนเป็นเลือด เกิดจ้ำเลือดใต้ผิวหนังเป็นสีม่วงๆ ช้ำ โดยที่ไม่ได้ไปกระแทกหรือโดนอะไรมา หากมีอาการดังกล่าวนี้ ผู้ป่วยที่รับประทานยาวาร์ฟาริน หรือแอสไพรินอยู่ควรรีบไปพบแพทย์ หรือคนที่จะทำการผ่าตัด หรือถอนฟัน ควรมีการหยุดยายาวาร์ฟาริน หรือแอสไพรินก่อนตามคำแนะนำของแพทย์

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
โทร 037-211-289

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 26 เมษายน 2557

ทฤษฎีแพทย์แผนไทย เปลี่ยนคนไข้ ‘มะเร็ง’ กลายเป็นหมอ

dailynews140427_001_1ความเจ็บป่วยเมื่อเกิดขึ้นไม่ว่าจะมากหรือน้อยล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตทั้งของผู้ที่เจ็บป่วยเองและคนที่อยู่รอบข้าง ยิ่งถ้าชีวิตต้องเจ็บป่วยด้วย “โรคมะเร็ง” ต้องเผชิญกับความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน การปรับตัวย่อมทำได้ยากลำบากและมีผลกระทบต่อจิตใจ จึงจำเป็นที่ผู้ป่วยจะต้องมีการปรับตัวเพื่อให้จิตใจเข้มแข็ง เพื่อต่อสู้กับโรคร้ายและก้าวผ่านไปให้ได้ เฉกเช่น ภิรตา จิรวัชราธิกุล ผู้ที่มะเร็งเปลี่ยนชีวิต จากคนไข้กลายมาเป็นหมอ

 dailynews140427_001_3

ภิรตา จิรวัชราธิกุล หรือ หมอติ่ง เล่าถึงประสบการณ์ที่ต้องเผชิญกับโรคมะเร็งให้ฟังว่า เมื่อปลายปี พ.ศ. 2544 ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่เต้านมด้านซ้ายใกล้หัวใจแล้วลามเข้าต่อมน้ำเหลือง ซึ่งเป็นระยะที่ 3 ทันทีที่รู้ก็วูบไปเหมือนกัน จากนั้น ได้รับการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันดังเช่นผู้ป่วยโรคมะเร็งคนอื่น ๆ เมื่อรักษาไปได้สักระยะหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าไม่มีทางหายขาดแน่ ๆ จึงถอดใจ

’แต่ก็เริ่มหาวิธีรักษาตัวเอง โดยคิดถึงสมุนไพรไทยแต่ไม่กล้าซื้อมากิน โชคดีมีพี่คนหนึ่งแนะนำเรื่องสมุนไพรว่า สถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข กำลังเปิดรับสมัครจึงตัดสินใจเข้าเรียน รอไม่ได้ เพราะความตายอยู่เบื้องหน้า เมื่อเข้าเรียนในสัปดาห์แรกบอกอาจารย์ว่า ตนเองเป็นมะเร็ง อาจารย์มียาอะไรช่วยได้หรือไม่ อาจารย์ตอบกลับมาว่า เลือด น้ำเหลือง ต้องดี มีความสำคัญเป็นอันดับแรก ถ้าเลือด น้ำเหลืองไม่ดี ปวนทุกระบบในร่างกาย แล้วก็ให้สูตรยามา ตั้งแต่บัดนั้นมาที่คิดว่าจะต้องตายแล้วจนวันนี้ผ่านมา 14 ปีที่หายขาดจากโรคมะเร็ง โดยใช้สมุนไพรไทยและแพทย์แผนไทยเป็นทางเลือกในการรักษาตนเอง“

จากการได้เรียนรู้ ได้ทำยาสมุนไพรตามวิชาแพทย์แผนไทยที่เรียนมา (ใบประกอบโรคศิลปะ บภ.บผ. และ พท.ว.) ประกอบกับดูแลสุขภาพตนเองมาโดยตลอด ทำให้มั่นใจว่านี่คือ อีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้เพื่อนมนุษย์พ้นจากโรคร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ได้ จึงเปิด ศุภเวชคลินิคการแพทย์แผนไทย ขึ้น โดยใช้สมุนไพรต่าง ๆ ในการรักษาโรค รวมทั้งรับบรรยายในเรื่องเคล็ดลับสุขภาพดีด้วยภูมิปัญญาไทยตามสถานที่ต่าง ๆ

 dailynews140427_001_2

สำหรับขั้นตอนในการรักษาผู้ป่วย หมอติ่ง เล่าว่า คนไข้ที่เข้ามารักษาส่วนใหญ่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเม็ดเลือด รวมทั้ง โรคสะเก็ดเงิน การรักษาจะใช้ทฤษฎีแพทย์แผนไทย โดยการจัดตรวจวิเคราะห์ธาตุ ซึ่งได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งจะโยงสู่การกินอาหารรักษาโรค รวมทั้ง มีการซักประวัติอย่างละเอียด

“จากการสอบถามผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยดื่มน้ำ กินข้าวไม่ตรงเวลา นอนไม่เป็นเวลา บางคนอดนอน รวมทั้งไม่ขับถ่ายของเสียทุกวัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมก่อโรค โดยเฉพาะโรคมะเร็ง แม้ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรม แต่ปัจจัยที่สำคัญ คือ พฤติกรรมที่ปฏิบัติในแต่ละวัน อะไรไม่ดีไม่ถูกกับตัวเองก็ไม่รู้ แต่มักเลือกเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก มีความคิดที่ว่า ฉันชอบกินอย่างนี้ก็จะกินอย่างนี้ จึงทำให้เป็นการกินไปป่วยไป เพราะอาหารที่กินไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงทำให้เกิดอาการป่วยขึ้นตามมา”

dailynews140427_001_4

เมื่อซักประวัติเรียบร้อยแล้ว จะให้ผู้ป่วยกินยาระบายของเสียทุกคน ถึงแม้ผู้ป่วยจะขับถ่ายได้เป็นปกติก็จะต้องกินยาระบายเช่นกัน รวมทั้ง ยาที่เป็นสมุนไพรกินเพื่อไม่ให้มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ซึ่งจะให้ยาชนิดใดขึ้นอยู่กับลักษณะและโรคที่ดำเนินอยู่ และที่สำคัญจะให้ผู้ป่วยปรับการดำเนินชีวิตเสียใหม่ ทั้งในส่วนของการกินโดยอาหารใดที่เป็นของแสลงที่จะทำให้โรคกำเริบทั้งหลายควรหลีกเลี่ยง และควรกินอาหารสด ที่ปรุงสุก ใหม่

  dailynews140427_001_6

’สิ่งสำคัญที่จะทำให้คนเราแก่สง่า ตายสงบ มีอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรก คือ หัวใจ ถ้าหัวใจหยุดเต้นเมื่อไรเปลี่ยนภพทันที ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มียาหอมบำรุงหัวใจ มีสมุนไพรจำพวก มะลิ พิกุล บุนนาค สารภี เกสร บัวหลวง จำปา กระดังงา ลำดวน ลำเจียก”

ต่อมา คือ อาหารใหม่ เพราะกินถูกเป็นโอสถทิพ กินผิดเป็นยาพิษทำลายตัวเอง โดยอาหารที่กินจะต้องเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะอยู่ในกระเพาะกับลำไส้เล็กรอการย่อยเพื่อดูดซึมไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ฉะนั้น จะแนะนำผู้ป่วยในเรื่องการกินอาหารอย่างไรให้เป็นยา จะได้ไม่ป่วย เพราะการป้องกันจะดีกว่าการรักษา อย่ารอให้ป่วย ถ้าป่วยแล้วจะเจ็บทั้งตัว อีกทั้งยังต้องเสียทรัพย์อีกเป็นจำนวนมาก

สุดท้ายก็คือ อาหารเก่า หรืออาหารที่ผ่านการย่อย ดูดซึมแล้วอยู่ที่ลำไส้ใหญ่เพื่อถ่ายเป็นอุจจาระออกจากร่างกาย คนเรากินอาหารต้องเทขยะทิ้งทุกวันด้วย ไม่ควรให้มีการหมักหมมกลายเป็นมลพิษในร่างกาย นอกจากการดูแลตนเองในเรื่องอาหารแล้ว จะต้องบำรุงในเรื่องของเลือด น้ำเหลืองร่วมด้วย ซึ่งตัวยาที่ให้ผู้ป่วยจะเป็นยาสมุนไพร มีทั้งยาต้ม ยาผง เวลาจะกินต้องชงก่อน และยาแคปซูล โดยตัวยาหลัก ๆ จะเป็นตัวยาตำรับซึ่งมีหลายตัวด้วยกัน มีตัวยาหลัก ตัวยารอง ตัวยาแก้ ตัวยากัน ซึ่งจะเป็นสมุนไพรไทยทั้งจาก ราก ดอก ผล ของต้นไม้ทั้งสิ้น

ความเปลี่ยนแปลงจะขึ้นอยู่กับคนไข้ ซึ่งแต่ละคนจะใช้เวลาในการรักษาที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นมากจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 เดือนถึงจะเห็นผล โดยจะเห็นผลช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคนไข้ในการดูแลตัวเอง ซึ่งจะต้องคุมปัจจัยที่จะก่อให้อาการกำเริบให้ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของอาหาร ซึ่งจะเน้นให้กินปลาเป็นหลัก ผักเป็นพื้น

“โดยจะต้องกินให้ถูกต้องตามธาตุของตนเอง ผู้ที่เป็นธาตุไฟจะต้องกิน ขม เย็น จืด กินคุมไว้ไม่ให้ข้างในร่างกายร้อนรุ่มมากนัก เพราะถ้าข้างในร่างกายร้อนรุ่มมากจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว กระทบอารมณ์จะหงุดหงิดขี้รำคาญ ส่วนคนที่เป็นธาตุดิน จะต้องกินฝาด หวาน มัน เค็ม คนที่เป็นธาตุน้ำจะต้องกิน เปรี้ยว ขม ธาตุลม เผ็ด ร้อน”

ในส่วนของยาบำรุงโลหิต จะมี เบญจกุล โดยเบญจแปลว่า 5 คือ ดูแล อากาศ ธาตุในร่างกาย มีเทียนทั้ง 5 มีโกศทั้ง 5 บำรุงกำลัง ทั้งหมดนี้คือ ครึ่งส่วน แล้วก็ตัวยาหลัก เช่น ดอกคำไทย กว่างเสน แก่นไม้สัก ว่านชักมดลูก ซึ่งจะช่วยดูแลทั้งเม็ดเลือดแดงและน้ำเหลือง

ส่วนทาง ด้านจิตใจ จะให้คำแนะนำ ทั้งผู้ป่วยและญาติเพราะไม่ใช่คนไข้คนเดียวที่จิตตกคนรอบข้างก็พลอยเป็นไปด้วย โดยจะใช้หลักธรรมคำสอนทั้งหลายปลอบประโลมจิตใจ เพื่อให้จิตใจเขาพองฟูขึ้นมาก่อน พอจิตใจพองฟูแล้วพูดให้ทำอะไรก็จะง่ายขึ้น ถ้าจิตตกจะทำอะไรก็ลำบาก โดยจะพยายามพูดให้คนไข้อยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันยังมีลมหายใจอยู่ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อดีตผ่านไปแล้วอย่าไปรื้อฟื้นขึ้นมา อนาคตยังมาไม่ถึงอย่าไปเอื้อม เพราะคนไข้หลายคนชอบเข้าไปอยู่ในอนาคต ฉันจะต้องอย่างนั้น ฉันจะต้องอย่างนี้ วาดภาพไปเอง โดยทั้งหมดยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ทำให้เกิดความเครียด พอเครียดมะเร็งกำเริบ ฉะนั้น ต้องทำให้สารความสุขหลั่งมาก ๆ ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายเข้มแข็ง

 dailynews140427_001_5

หมอติ่ง กล่าวทิ้งท้ายว่า มี 6 ดี หนีมะเร็งได้ ซึ่งได้แก่ อาหารไทยดี นั้นก็คือ ปลาเป็นหลัก ผักเป็นพื้น กินธัญพืช ถั่ว งา กินผักหลากสี เขียว เหลือง ส้ม แดง ม่วง ผลไม้ตามฤดูกาลที่ไม่หวานจัด โดยจะต้องสด มีการปรุงสุกใหม่ รวมทั้งดื่มน้ำไม่ต่ำกว่า 2 ลิตร ต่อวัน เพราะน้ำเป็นยาอายุวัฒนะที่ถูกที่สุด อาหารที่ชอบแต่ไม่ดีกับสุขภาพต้องฝืนใจหยุด อาหารที่ไม่ชอบแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรงต้องฝืนใจกินเข้าไป

ต่อมา คือ ยาดี ธรรมชาติทั้งหลายได้สร้างต้นไม้ให้มนุษย์แต่ไม่ได้ให้ไว้เป็นอาหารอย่างเดียว แต่สามารถใช้เป็นยาได้ด้วยซึ่งก็คือ สมุนไพรต่าง ๆ จากนั้น คือ อารมณ์ดี ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เครียด คิดติดบวกไว้เสมอ และหมั่นทำบุญ ทำทาน จากนั้นจะเป็น ออกกำลังกายดี โดยออกกำลังกายเบา ๆ ไม่ว่าจะเป็นเดินตากแดดยามเช้า เล่นโยคะ รำไทเก๊ก

ดีที่ 5 คือ อุจจาระดี จะต้องขับถ่ายระบายของเสียทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงเช้า ร่างกาย สมองจะปลอดโปร่ง โล่ง สบาย ไม่อึดอัด รำคาญ โดยอาจารย์สอนไว้ว่า รักษาไข้อย่าเสียดายขี้ เอาขี้ออกเสียได้หายเร็วทุกโรค ถึงแม้จะถ่ายได้ทุกวันก็อย่าคิดว่าจะออกหมด โดยจะมี ปะระเมหะ แปลว่า คราบเมือกมัน เปลวไต อยู่ทั่วเส้นเอ็นทั้งหลายในร่างกายที่มีอยู่  2,700 เส้น ตอนแรกก็เป็นเมือกมันก่อน สะสมนานเข้าก็เป็นนิ่ว หินปูน ถ้าดื่มน้ำน้อย เลือดก็จะหนืดการไหลเวียนไม่ดี เกิดการตกตะกอนกลายเป็นมะเร็งได้ อย่าให้ของเสียตกค้างอยู่ในร่างกาย สุดท้าย หลับดี การหลับที่ดีจะต้องหลับลึก ไม่ใช่หลับไปฝันไป หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในขณะที่หลับ ถ้าสามารถทำให้ตัวเองหลับลึกได้ร่างกายก็จะไม่ทรุดโทรม

วิชาแพทย์แผนไทย ภูมิปัญญาไทยทั้งหลาย ถือเป็นมรดกของคนไทยทุกคน อยากให้ลูกหลานช่วยกันดำรงรักษาภูมิปัญญานี้ไว้ ช่วยกันรักษาต้นไม้ที่เป็นสมุนไพรไทยทั้งหลาย เพื่อให้คงอยู่กับประเทศไทยสืบต่อไป และที่สำคัญช่วยให้ผู้ป่วยพ้นทนทุกข์ทรมานจากโรคที่เป็นอยู่.

ทีมวาไรตี้

ที่มา : เดลินิวส์ 27 เมษายน 2557

สมุนไพรไทย ไพล–ลูกประคบ

dailynews140406_001กรมแพทย์แผนไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมสมุนไพรไทยขึ้นแล้ว 3 ยุทธศาสตร์ กล่าวคือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมให้มีวัตถุดิบสมุนไพรอย่างพอเพียงและเหมาะสม ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานการผลิต และ ยุทธศาสตร์ที่ 3 สนับสนุนสมุนไพรไทยสู่สินค้าโลก

ซึ่งมีรายละเอียดของแต่ละยุทธศาสตร์มากมายตามหลักวิชาการบริหาร ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้แต่อยากเล่าให้ฟังถึงการพัฒนาของสมุนไพรไทยใด ๆ ก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง

1.ทำการศึกษาทางเภสัชวิทยา
2.การศึกษาในมนุษย์ในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการทดสอบทางคลินิกและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
3.การศึกษาพิษวิทยา
4.การเตรียมผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรแต่ละชนิดจำเป็นต้องได้คุณภาพมาตรฐานโลก

ทั้งนี้รวมไปถึงควรต้องศึกษาวิธีปลูก ศึกษาดิน แร่ธาตุในดินที่ใช้ปลูก ศึกษาฤดูเก็บ วิธีเก็บ และวิธีสกัดโดยละเอียดด้วยจึงจะได้ผลอย่างดียิ่ง ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่าการศึกษาทางด้านต่าง ๆ เหล่านี้ได้นำมาใช้ในประเทศไทยโดยกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว และได้มีผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้คุณภาพและมีข้อบ่งใช้เป็นรายละเอียด เชื่อถือได้ รับรองโดยกรมแพทย์แผนไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์ และ/หรือ อ.ย. ไปแล้วมากมาย

สำนักงานพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์สุขภาพ ภายใต้การนำของ เภสัชกรสมนึก  สุชัยธนาวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์คุณภาพ สามารถเป็นที่พึ่งพา ปรึกษาและผลิตสมุนไพรสกัดโดยวิธีมาตรฐานหลากหลายวิธีอย่างดียิ่งมาแล้ว และได้เผยแพร่สมุนไพรให้มีผลผลิตทั้งจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปแล้วมากมาย นับว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งสำหรับผู้สนใจที่จะส่งเสริมและยึดอาชีพนี้เป็นหลัก

Product Champion ของสมุนไพรไทยที่จะนำเสนอในที่นี้อีก 2 ชนิดก็คือ ไพล และลูกประคบไพล (Zingiber montanum (Koenig) Link ex Dietr.) เป็นสมุนไพรที่สถาบันวิจัยวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย  (วว.) ได้ศึกษาวิจัยมาเป็นเวลานาน ปัจจุบันไพลเป็นยาจากสมุนไพรรายการหนึ่งในบัญชียาหลักแห่งชาติ สำหรับใช้ทาภายนอกบรรเทาอาการปวดเมื่อย ปวดบวม จากกล้ามเนื้ออักเสบ เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ และตำรับยา “ประสะไพล” ใช้แก้ระดูมาไม่ปกติ บรรเทาอาการปวดประจำเดือนและขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอด

วว. ได้วิจัยและพัฒนาไพลเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น ยาทาภายนอกสูตรผสมแก้ปวดข้อ, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นจากน้ำมันไพล, น้ำมันขจัดเห็บหมัดในสุนัข ช่วยดับกลิ่นสุนัข ทำให้ไม่ต้องอาบน้ำบ่อย, ไพลยังสามารถนำมาทำเวชสำอาง เช่น ครีมพอก ช่วยรักษาผิว ทำให้ผิวพรรณผ่องใส แก้สิว, มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Nanocoat ไพลลงบน elastic microfiber ใช้พันตามข้อแก้ปวดข้อ และบนแผ่นพลาสเตอร์ใช้แปะแก้ปวดเมื่อยจาก office syndrome นอกจากนี้ บริษัท Kovic และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติยังได้ผลิตสารสกัดที่มีการควบคุมคุณภาพ (standardized extract) จากไพลชื่อ Plaitanoid จำหน่ายมาได้หลายปีแล้ว

ปัจจุบันไพลเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มาก นอกจากใช้ทำลูกประคบสำหรับร้านนวดไทย คลินิกแพทย์แผนไทยและในสปา รวมทั้งเพื่อส่งออกแล้ว น้ำมันไพลยังนำมาผลิตยาใช้ภายนอก ทาแก้ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก ส่วนกากของไพลที่สกัดน้ำมันออกแล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ได้เพราะยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบอยู่

การขยายพันธุ์ : ใช้เหง้าปลูก โดยคัดเลือกหัวพันธุ์ที่มีอายุ 7-9 เดือน มีตาสมบูรณ์ ไม่มีโรคแมลงทำลาย นำมาแบ่งหัวพันธุ์ โดยการหั่น ขนาดของเหง้าควรมีตาอย่างน้อย 3-5 ตา หรือแง่งมีน้ำหนัก 15-50 กรัม จากนั้นแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง เช่น เพลี้ยหอยด้วยมาลาไธออน หรือคลอไพรีฟอส 1-2 ชั่วโมง ตามอัตราแนะนำ และชุบท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราก่อนปลูก การปลูกควรปลูกในฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เพราะฤดูอื่นไพลจะพักตัวไม่งอก

 แหล่งปลูก : สระแก้ว สุราษฎร์ธานี

 เหง้าไพลประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย

ซึ่งมีสาระสำคัญที่ทำหน้าที่ในการออกฤทธิ์ เช่น sabinene (27-34%), b-terpinene (6-8%), a-terpinene (4-5%), terpinen-4-ol (30-35%) และ (E)-1-(3,4-dimethoxyphenyl) butadiene (DMPBD) (12-19%) น้ำมันหอมระเหยไพล มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ในน้ำมันหอมระเหยไพลมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดบวม ปวดเมื่อย และต้านการอักเสบได้ดี นอกจากนี้เหง้าไพลยังมีสาร cassumunarin A, B และ C ซึ่งเป็น complex curcuminoids ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีอีกด้วย ส่วนฤทธิ์ในด้านอื่น ๆ มีดังนี้

1. ฤทธิ์ลดการอักเสบ
2. ฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่
3. ฤทธิ์ต้านฮิสตามีน
4. ฤทธิ์แก้ปวด
5. ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย
6. ฤทธิ์ต้านเชื้อรา
7. ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ

ผลิตภัณฑ์จากไพล

– ผลิตภัณฑ์สุขภาพ >>> ลูกกลิ้งไพล เจลรักษาสิว โคลนพอกหน้าและตัว เจลไพล ปาล์ม เจลลูกประคบ เจลไพลขิง ผงอบสมุนไพร โลชั่นทาแผลจากไพล ผลิตภัณฑ์รักษาแผลในช่องปาก แผ่นผ้าอนามัยสำหรับสตรี

– ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด >>> น้ำยาเช็ดพื้นจากไพล

– ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ >>> แชมพูอาบน้ำสุนัข สเปรย์ไพลซิดัล (กำจัดเห็บและหมัด) โลชั่นไพลซิดัล (ช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนังจากการถูกเห็บหมัดกัด)

ลูกประคบสมุนไพร  เป็นผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ในสถานบริการนวดไทยและสปาไทยทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ลูกประคบสมุนไพรชนิดแห้งเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีการส่งออกนำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก

ตัวยาที่นิยมใช้ทำลูกประคบ ได้แก่ ไพล  (500 กรัม) แก้ปวดเมื่อย เคล็ด ขัดยอก ลดการอักเสบ ขมิ้นชัน (100 กรัม) ช่วยลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง ตะไคร้บ้าน (100 กรัม) แต่งกลิ่น  ผิวมะกรูด (200 กรัม) ถ้าไม่มีใช้ใบแทนได้ มีน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน ใบมะขาม (300 กรัม) แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยบำรุงผิว ใบส้มป่อย (100 กรัม) ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน เกลือ (1 ช้อนโต๊ะ) ช่วยดูดความร้อนและช่วยพาตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้สะดวกขึ้น การบูร (2 ช้อนโต๊ะ) แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ

วิธีทำลูกประคบ

*** อาจผสมสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับภูมิภาค ซึ่งจะใช้สมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นส่วนประกอบวิธีการใช้ลูกประคบสมุนไพร

นำลูกประคบที่นึ่งประมาณ 15-20 นาที จนร้อนได้ที่แล้วมาทดสอบความร้อนโดยแตะที่ท้องแขนหรือหลังมือก่อนนำไปใช้ โดยในช่วงแรกที่ลูกประคบยังร้อนอยู่ ต้องประคบด้วยความเร็วเพียงแตะลูกประคบแล้วยกขึ้น แต่เมื่อลูกประคบคลายความร้อนลงสามารถวางลูกประคบได้นานขึ้นพร้อมกับกดคลึงจนกว่าลูกประคบคลายความร้อน แล้วจึงเปลี่ยนไปใช้ลูกใหม่แทน ข้อควรระวังในการประคบสมุนไพร คือไม่ควรใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไป โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่เคยเป็นแผลมาก่อนหรือบริเวณที่มีกระดูกยื่น และต้องระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยโรคเบาหวาน อัมพาต เด็กและผู้สูงอายุ เพราะมักมีความรู้สึกในการรับรู้และตอบสนองช้า อาจทำให้ผิวหนังไหม้พองได้ง่าย ประโยชน์ของการประคบสมุนไพร มาจากทั้งความร้อนและตัวยาสมุนไพร โดยมีผลกระตุ้นหรือเพิ่มการไหลเวียนเลือด, ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวดเมื่อย ลดการติดขัดของข้อต่อบริเวณที่ประคบและทำให้เนื้อเยื่อ พังผืดยืดตัวออก และลดอาการบวมที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือบริเวณข้อต่อต่าง ๆ

ข้อมูลจาก หนังสือคู่มือการดูแลสุขภาพด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

ที่มา :  เดลินิวส์ 6 เมษายน 2557

‘กระชายดำ’

dailynews140330_003จากการระดมความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนภายใต้แผนพัฒนาสมุนไพรไทยของกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ได้คัดเลือกสมุนไพร 4 ชนิดและผลิตภัณฑ์สมุนไพร 1 รายการ ได้แก่ กวาวเครือขาว กระชายดำ บัวบก ไพล และลูกประคบ เพื่อพัฒนาสมุนไพรสู่ผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศไทย (Thailand Champion Herbal Products: TCHP)

หลักเกณฑ์พิจารณาคัดเลือก มีดังนี้

1.มีคุณค่าในการใช้เป็นยารักษาโรค หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือเครื่องสำอาง
2.สามารถพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจ
3.มีสรรพคุณและความปลอดภัย
4.มีผู้ใช้หลากหลายกลุ่ม หลายประเภท
5.เป็นสมุนไพรที่ปลูกได้ในประเทศไทย และมีการวิจัยโดยนักวิจัยไทย

เรื่องการเพิ่มคุณค่าและสร้างผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยให้เป็นที่นิยมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพ ส่งเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย สามารถแก้ไขกลุ่มอาการง่าย ๆ ให้กับสาธารณสุขมูลฐานได้อย่างดียิ่ง ทั้งนี้จำเป็นต้องมีการศึกษาตามหลักการของแพทย์แผนปัจจุบันอย่างชัดเจน สามารถระบุขนาดยา วิธีใช้ ข้อบ่งชี้ในการใช้ และข้อระวัง ผลข้างเคียงหรือผลแทรกซ้อน รวมทั้งศึกษาด้วยว่าจะมีปฏิกิริยาเสริมฤทธิ์หรือต้านฤทธิ์กับยาแผนปัจจุบันใด ๆ หรือไม่ ควรมีฉลากแสดงรายละเอียดของยาและรายละเอียดของวิธีใช้อย่างชัดเจนรวมถึงป้องกันปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายทั้งมวลไว้ด้วย เพราะความรู้ด้านสมุนไพรไทยนั้นมิได้กำหนดเป็นการเรียนการสอนในหลักสูตรใด ๆ ที่ชัดเจน

หากพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยทั้งที่เป็นยา อาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือยาที่ลดกลุ่มอาการต่าง ๆ จนเป็นที่นิยมใช้ได้อย่างแพร่หลายแล้วจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชาวสวน ชาวไร่ ที่ทำการปลูกสมุนไพร สามารถสงวนพันธุ์ ผสมพันธุ์ เพิ่มพันธุ์ เพิ่มคุณค่า ให้กับสมุนไพรได้อย่างต่อเนื่อง และอาจเป็นสินค้าออกได้อย่างดียิ่ง หากได้นำออกเผยแพร่สรรพคุณจนเป็นที่แพร่หลายในทั่วโลก ปัจจุบันนี้มีผงสกัดของสมุนไพรอินเดียภายใต้ศาสตร์ของอายุรเวทแผนอินเดีย ผงสกัดสมุนไพรจีนส่งเข้ามาเผยแพร่และจำหน่ายในประเทศไทยอยู่มากมาย และดูคล้ายว่าจะมียอดการจำหน่ายและความนิยมเพิ่มขึ้นทุกปี

สำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรผู้นำ 4 ชนิดและผลิตภัณฑ์สมุนไพร 1 ชนิดนั้น ผมได้นำความรู้เรื่องของบัวบก กวาวเครือ นำเสนอท่านผู้อ่านมาแล้ว และความรู้เรื่องขมิ้นชัน ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยและ ได้ใช้เป็นยาแผนปัจจุบันโดยทั่วไปได้นำเสนอในคอลัมน์นี้ไปแล้ว วันนี้จะเพิ่มความรู้เรื่องกระชายดำต่อไป

กระชายดำ (Kaempferia parviflora Wall. Ex Baker) ในสมัยโบราณมีการบันทึกถึงการใช้ว่านกระชายดำในทางคงกระพันชาตรี  ต่อต้านศาสตราวุธ และแคล้วคลาดจากคมหอกคมดาบได้เป็นอย่างดี มีตำนานเล่าขานกันมาว่า นักรบในสมัยโบราณมักพกกระชายดำติดตัวไปทุกครั้งเมื่อออกสนามรบและจะเคี้ยวอมไว้ในปากเวลาต่อสู้กับข้าศึก

ในตำรายาโบราณบางฉบับมีการบันทึกถึงการนำกระชายดำไปใช้เป็นยาสมุนไพรในหลายตำรับ ดังเช่นคัมภีร์ยา “นพเก้า” ที่กล่าวกันว่าเป็นสุดยอดของตำรายาสมุนไพร ซึ่งมีตัวยาทั้งหมด 9 ชนิด และกระชายดำก็เป็นหนึ่งในเก้าชนิดนั้นเช่นกัน ตำรายาของขอมโบราณก็มีการบันทึกตำรับยากระชายดำผสมนํ้าผึ้งเดือนห้าไว้ด้วย

ส่วนตำราว่านมหามงคลนั้นก็มีบันทึกถึงกระชายดำเช่นกันว่า เป็นว่านมหามงคล มีเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี ถ้าปลูกไว้หน้าบ้าน หรือปลูกใส่กระถางนำไปตั้งไว้หน้าบ้านจะเป็นสิริมงคลมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในบ้าน ป้องกันภูตผีปิศาจ ซึ่งบรรดานักเลงว่านทั้งหลายนิยมสะสมกันมานาน และในสมัยก่อนถือว่าเป็นว่านที่หายากมีราคาแพง

หมอพื้นบ้านมีการนำว่านกระชายดำมาใช้เป็นส่วนผสมของสูตรยาสมุนไพรมานานแล้ว โดยเฉพาะยารักษาโรคต่าง ๆ และยาชูกำลังหรือยาบำรุงสมรรถภาพทางเพศ แต่จะเก็บไว้เป็นความลับเฉพาะตัวบุคคลไม่เผยแพร่ให้รู้จัก เพราะเชื่อกันว่าตัวยานี้มีครูที่จะต้องเก็บรักษามีคาถาอาคมประกอบ และต้องมีสัจจะต่อครูบาอาจารย์คือไม่ให้เปิดเผยโดยทั่วไป ยกเว้นเสียแต่ว่ามีผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนจะได้รับการถ่ายทอดวิชาและสอนตำรับยาอย่างเป็นทางการนั้นจะต้องผ่านพิธีกรรม การสาบาน ตนเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ และต้อง เสียค่าบูชาหรือที่เรียกว่าค่าครูด้วย มิ เช่นนั้นจะถือว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง ด้วยวิธีการถ่ายทอดวิชาความรู้เรื่องสูตรยาสมุนไพรที่ยุ่งยากซับซ้อนนี้ จึงทำให้คนรุ่นหลังไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก ทำให้ตำรายาดี ๆ หลายตำรับหายสาบสูญไปกับเจ้าของสูตรนั้นมามากต่อมากแล้ว กระชายดำก็เช่นกันแม้จะมีการใช้ทำยามานาน แต่ถูกปิดบังโดยเงื่อนไขทางพิธีกรรมที่สืบทอดกันมา จึงทำให้สมุนไพรชนิดนี้ในอดีตไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากนัก แต่ในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ

การขยายพันธุ์กระชายดำ : จะใช้หัวพันธุ์ ต้นพันธุ์ หรือแบ่งเหง้าจากต้นที่เติบโตสมบูรณ์แล้วนำมาปลูก สามารถปลูกในกระถางเพื่อเป็นไม้ประดับหรือปลูกรวมกับว่านชนิดอื่น ๆ หรือพื้นที่ที่จะปลูกเป็นที่ลาดชัน (slope) อาจไม่ต้องยกร่องก็ได้

ฤดูปลูก  : ปลูกได้ทั้งปี แต่ฤดูที่เหมาะสม อยู่ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม

แหล่งปลูก : เลย อุดรธานี พิษณุโลก

 

การศึกษาทางเภสัชวิทยา

การวิจัยในสัตว์ทดลองเพศผู้สนับสนุนฤทธิ์เสริมสมรรถภาพทางเพศของกระชายดำ แต่ยังไม่มีรายงานการวิจัยในคน แต่มีรายงานวิจัยทางคลินิกว่าช่วยเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายในผู้สูงอายุ ส่วนหนึ่งเนื่องจากฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน กระชายดำยังมีฤทธิ์อื่นที่น่าสนใจ เช่น ต้านอักเสบ ต้านการแพ้ (anti-allergy) ขยายหลอดเลือด ลดภาวะอ้วน ลดการสะสมไขมันในช่องท้องในหนูเบาหวานที่อ้วน รวมทั้งลดการดื้อยาคีโมของเซลล์มะเร็ง สารสกัดกระชายดำยังมีฤทธิ์ทางชีวภาพและเภสัชวิทยาที่สำคัญหลายประเภท ได้แก่ ต้านจุลชีพ ต้านการกลายพันธุ์ ยับยั้งการไหลกลับของยาในลำไส้เล็ก ต้านการอักเสบ มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและอาการภูมิแพ้ มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยงหลายชนิด ลดระดับนํ้าตาลและไขมันในเลือด มีผลต่อสมรรถ ภาพทางเพศ ขยายหลอดเลือดและเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือด เพิ่มการเรียนรู้ความจำ ปกป้องเซลล์ประสาทถูกทำลายและเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ จึงควรได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกระชายดำ

การศึกษาทางพิษวิทยา: ผงกระชายดำและสารสกัดที่ได้จากแหล่งปลูกในจังหวัดเลยมีความปลอดภัย มีการปนเปื้อนของโลหะหนักและจุลินทรีย์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานกำหนด สารสกัดกระชายดำที่สกัดด้วยเอทานอล 95% ไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์เมื่อทดสอบด้วยวิธีแบคทีเรียชนิด Salmonella typhimurium ผงกระชายดำและสารสกัดกระชายดำที่ได้ยังมีพิษต่อเมื่อใช้ทดสอบพิษเฉียบ พลันและพิษเรื้อรังในสัตว์ทดลอง โดยทดสอบกับหนูนาน 6 เดือนพบว่าผลกระชายดำ 2,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือสารสกัดกระชายดำขนาด 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัมมีความปลอดภัย

กระชายดำมีศักยภาพในการวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงร่างกายในคนทั่วไปและผู้สูงอายุ ยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายทำนองเดียวกับผลิตภัณฑ์รากปลาไหลเผือกของมาเลเซีย ยาช่วยลดความอ้วน และครีมทาลดเซลลูไลต์ เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์จากกระชายดำ : ยาบำรุงร่างกายชนิดเม็ด-นํ้า กาแฟสำเร็จรูปกระชายดำ ชากระชายดำ ไวน์กระชายดำ

ข้อมูลจาก หนังสือคู่มือการดูแลสุขภาพด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.

 

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

ที่มา: เดลินิวส์ 30 มีนาคม 2557

กินป้องกันลำไส้หน้าร้อน

dailynews140329_002ถ้าลำไส้เป็นสุข สุขภาพก็แข็งแรง นี่คือสัจธรรม เพราะภูมิคุ้มกันร่างกายส่วนสำคัญอยู่ที่ลำไส้ด้วยที่หนึ่ง ยกตัวอย่าง “ไส้ติ่ง” ที่มีต่อมน้ำเหลืองสร้างเกราะป้องกันเชื้อโรคให้เราได้อยู่มาก หากไปตัดออกโดยไม่จำเป็นก็จะทำให้ขาดของดีไป

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า ในผู้ที่มีสุขภาพไม่ดีนั้นขอให้หันมามองที่ลำไส้ด้วยส่วนหนึ่ง บางทีมันอาจเป็นคำตอบที่ท่านหามานาน เช่น บางท่านมีอาการเจ็บป่วยง่าย อาจเกิดจากการไวต่ออาหารในลำไส้หรือพูดง่าย ๆ ว่าไส้รั่วเพราะแพ้อาหารบางชนิดที่กินมาตลอดชีวิต

ลำไส้และทางเดินอาหารจึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ท่านมีความสุขอยู่ไม่น้อย โดยมันคอยช่วยสุขภาพในด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยขับสารพิษ ช่วยดูดซับของดีจากอาหาร ช่วยสร้างเคมี หรือ ฮอร์โมนปรับสมดุลร่างกาย

ในหน้าร้อนมีผลต่อลำไส้เช่นกัน โดยส่วนหนึ่งมาจากอากาศเองด้วยที่ทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติไป เป็นต้นว่า ทำให้ลำไส้บีบตัวผิดปกติ มีการหลั่งน้ำย่อยไม่เป็นปกติ จนถึงกระตุ้นให้ลำไส้แปรปรวนกำเริบ

 

7 สมุนไพรที่ควรเปิบเพื่อช่วยการทำงานของลำไส้ มีดังนี้

โหระพา น้ำมันหอมกรุ่นกลิ่นที่อยู่ในโหระพาคือพระเอก ช่วยเจริญอาหาร ลดอาการโรคกระเพาะที่จุกเสียดแน่น ช่วยต้านมะเร็งจาก “เบต้าแคโรทีน” ที่มีอยู่สูง นอกจากนั้นน้ำมันโหระพายังมีฤทธิ์ต้านพยาธิลำไส้ตัวสำคัญอย่าง “ไกอาเดีย” ด้วย

ใบแมงลัก อยู่ในแกงเลียงซดชื่นใจ จะใส่ขนมจีนน้ำยาก็อร่อยเด็ด ใบแมงลักช่วยคลายท้องอืดแน่นเฟ้อได้ราวกับร่ายมนตร์ สามารถรับประทานจากในแกงหรือรับประทานสดเป็นผักแกล้มก็ได้ ช่วยให้ท่านคลายรำคาญจากอาการท้องอืด นอกจากนั้นใบแมงลักยังช่วยแก้อาการท้องร่วงท้องเสียได้ด้วย

หัวหอม มีของดีที่ช่วยลำไส้คือเส้นใยสุขภาพที่ชื่อ “อินนูลิน” ที่กินแล้วช่วยเสริมภูมิให้ลำไส้ ไล่พยาธิและอาการอักเสบต่าง ๆ ในช่องท้อง ช่วยในผู้ป่วยเบาหวานที่กระเพาะลำไส้ทำงานไม่ค่อยดี มีท้องอืดหรือแน่นท้องบ่อยให้สบายขึ้นได้

กระเทียม มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในลำไส้ได้จากสารกลุ่ม “ซัลเฟอร์” หรือกำมะถัน การรับประทานกระเทียมเหมือนกับการกินยาปฏิชีวนะธรรมชาติที่ไม่ทำร้ายลำไส้มากจนเกินไป นอกจากนั้นยังมีรายงานว่ากระเทียมช่วยรักษาโรคบิดได้

กะเพรา อาหารประเภทไม่ต้องคิดมากอย่าง “ผัดกะเพรา” มีฤทธิ์ไม่ธรรมดา เพราะใบกะเพรามีชื่อเสียงในเรื่องดูแลลำไส้ ช่วยให้อาการปวดท้องคลายลง ช่วยย่อยอาหาร ที่สำคัญคือไล่มะเร็งได้ด้วย

ตะไคร้ ช่วยกระตุ้นลำไส้ น้ำมันหอมในตะไคร้ช่วยขับน้ำดี ช่วยลดการอักเสบแก้อาการปวดเกร็งได้แบบที่แพทย์ไทยเรียกว่าแก้กษัยเส้น ท้องแข็งเป็นดาน นอกจากรับประทานเป็นอาหารแล้วตะไคร้ยังใช้ชงดื่มเป็นชาสมุนไพรหอมดื่มได้ด้วย

ขิง เป็นสิ่งดี ๆ ที่ช่วยให้ผู้ที่มีอาการทางเดินอาหารที่มักคลื่นไส้อาเจียนเวียนหัวบ่อยดีขึ้นได้ แม้ขิงจะเป็นของร้อนแต่ในขิงมีน้ำมันพิเศษที่ช่วยต้านอักเสบและคลายลำไส้ ช่วยรักษาแผลกระเพาะที่ติดลำไส้ส่วนต้น ช่วยลดการอักเสบของตับ นอกจากนั้นขิงยังถือเป็นยาอายุวัฒนะ ถึงขนาดชาวจีนขนานนามว่า “โสมน้อย” ทีเดียว

ในกลุ่มของอาหารที่ว่ามาสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ให้สังเกตอาการโรคลำไส้ในหน้าร้อน 3 อาการหลักได้แก่ คลื่นไส้ ท้องเสียและมีไข้ เมื่อใดที่เริ่มมีอาการให้ดื่มน้ำให้มากและดูแลเรื่องอาหารให้ดี ถ้ามีอาการมากก็ไปพบแพทย์แต่ถ้าไม่มากก็ป้องกันไว้ก่อนด้วยสมุนไพรดังที่กล่าวไว้.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน

ที่มา: เดลินิวส์ 29 มีนาคม 2557

สมุนไพรรักษาหวัด

dailynews140321_001สังคมในปัจจุบันเต็มไปด้วยมลพิษรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศที่เราหายใจเข้า-ออก ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและน้ำดื่ม ซึ่งล้วนแล้วแต่ใกล้ตัวเรา และมลพิษเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดอาการป่วยได้ทั้งสิ้น แต่รู้กันหรือไม่ว่า รอบตัวเรานี้ก็มียารักษาอาการป่วยอยู่เช่นกัน เรื่องนี้กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้เผยแพร่ความรู้ไว้ว่า ผักผลไม้หลายชนิด มีสรรพคุณทางยา สามารถใช้รักษาโรคหวัด โรคฮิตที่หลายคนป่วยกันอยู่บ่อยๆ

เมนูง่ายๆ อย่างผัดกะเพราก็มีสรรพคุณทางยา เพราะ กะเพรา เป็นสมุนไพรที่คนไทยและคนอินเดียนิยมรับประทาน เพราะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งยังแก้ไอ แก้หวัด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลายเครียด แก้อักเสบ และมีสารต้านอนุมูลอิสระ

นอกจากนี้ สมัยก่อนคนไทยและคนจีนใช้ตะไคร้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ แก้ปวดหัว ปวดท้อง และตะไคร้ยังเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ แก้อักเสบ ปัจจุบันผู้ขายอาหารสุขภาพจึงนำตะไคร้มาคั้นเอาแต่น้ำแล้วจำหน่าย นอกจากนี้ ตะไคร้ยังเป็นส่วนประกอบของเมนูอาหารไทยขึ้นชื่อ อย่าง ต้มยำ เมนูโปรดของทั้งคนและชาวต่างชาติ เมื่อตะไคร้ไปรวมตัวกับสมุนไพรอื่นในเมนูนี้ ทั้งขิง ข่า มะนาว พริก กระเทียม มะกรูด หัวหอม จึงกลายเป็นเมนูที่ช่วยบรรเทาโรคหวัดได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ไม่ได้มีแต่ผักเท่านั้นที่สามารถรักษาโรคหวัดได้ เพราะผลไม้อย่าง กระเจี๊ยบ ก็เป็นสมุนไพรสีสวยที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี สร้างสมดุลความดัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และมีสรรพคุณต้านหวัด แก้ไข้ แก้ไอ ขับปัสสาวะ ซึ่งกลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ระบุถึงการรายงานจากนักวิทยาศาสตร์พบว่า สารแอนโธไซยานินในกระเจี๊ยบ มีฤทธ์ต้านเชื้อไวรัส ฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรงและลดปริมาณไวรัสเข้าสู่ร่างกาย และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ และยังเชื่ออีกว่า การรับประทานผักและผลไม้ที่มีสารดังกล่าวจะช่วยลดการติดเชื้อ ลดปริมาณเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ ได้ โดยสารแอนโธไซยานินสามารถหาได้จากพืชหลายชนิด เช่น ดอกอัญชัญ มะเขือม่วง กะหล่ำม่วง ชมพู่มะเหมี่ยว หรือจากผลไม้ที่มีสีแดงอย่าง ทับทิมและลูกหว้า

ส่วนผลไม้พื้นบ้าน อย่างมะขามป้อม รสเปรี้ยวเข็ดฟัน ก็อุดมด้วยวิตามินซีสูง คนรุ่นเก่านิยมนำมาใช้เป็นยารักษา และใช้เป็นยาอายุวัฒนะ มีสรรพคุณแก้ไอ บำรุงเสียง ทำให้ชุ่มคอ มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน และมีสารโพลีฟีนอลที่ออกฤทธิ์เหมือนวิตามินซี ปัจจุบันพบว่า สารชนิดนี้มีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่อีกด้วย

ผักและผลไม้ในบ้านเราหลายชนิดมีสรรพคุณทางยาสามารถรักษาโรคได้โดยไม่ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะ นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้นิยมใช้ธรรมชาติบำบัด.

 

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

ที่มา : เดลินิวส์ 21 มีนาคม 2557