กรมแพทย์แผนไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมสมุนไพรไทยขึ้นแล้ว 3 ยุทธศาสตร์ กล่าวคือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมให้มีวัตถุดิบสมุนไพรอย่างพอเพียงและเหมาะสม ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานการผลิต และ ยุทธศาสตร์ที่ 3 สนับสนุนสมุนไพรไทยสู่สินค้าโลก
ซึ่งมีรายละเอียดของแต่ละยุทธศาสตร์มากมายตามหลักวิชาการบริหาร ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้แต่อยากเล่าให้ฟังถึงการพัฒนาของสมุนไพรไทยใด ๆ ก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
1.ทำการศึกษาทางเภสัชวิทยา
2.การศึกษาในมนุษย์ในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการทดสอบทางคลินิกและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
3.การศึกษาพิษวิทยา
4.การเตรียมผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรแต่ละชนิดจำเป็นต้องได้คุณภาพมาตรฐานโลก
ทั้งนี้รวมไปถึงควรต้องศึกษาวิธีปลูก ศึกษาดิน แร่ธาตุในดินที่ใช้ปลูก ศึกษาฤดูเก็บ วิธีเก็บ และวิธีสกัดโดยละเอียดด้วยจึงจะได้ผลอย่างดียิ่ง ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่าการศึกษาทางด้านต่าง ๆ เหล่านี้ได้นำมาใช้ในประเทศไทยโดยกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว และได้มีผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้คุณภาพและมีข้อบ่งใช้เป็นรายละเอียด เชื่อถือได้ รับรองโดยกรมแพทย์แผนไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์ และ/หรือ อ.ย. ไปแล้วมากมาย
สำนักงานพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์สุขภาพ ภายใต้การนำของ เภสัชกรสมนึก สุชัยธนาวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์คุณภาพ สามารถเป็นที่พึ่งพา ปรึกษาและผลิตสมุนไพรสกัดโดยวิธีมาตรฐานหลากหลายวิธีอย่างดียิ่งมาแล้ว และได้เผยแพร่สมุนไพรให้มีผลผลิตทั้งจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปแล้วมากมาย นับว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งสำหรับผู้สนใจที่จะส่งเสริมและยึดอาชีพนี้เป็นหลัก
Product Champion ของสมุนไพรไทยที่จะนำเสนอในที่นี้อีก 2 ชนิดก็คือ ไพล และลูกประคบไพล (Zingiber montanum (Koenig) Link ex Dietr.) เป็นสมุนไพรที่สถาบันวิจัยวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้ศึกษาวิจัยมาเป็นเวลานาน ปัจจุบันไพลเป็นยาจากสมุนไพรรายการหนึ่งในบัญชียาหลักแห่งชาติ สำหรับใช้ทาภายนอกบรรเทาอาการปวดเมื่อย ปวดบวม จากกล้ามเนื้ออักเสบ เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ และตำรับยา “ประสะไพล” ใช้แก้ระดูมาไม่ปกติ บรรเทาอาการปวดประจำเดือนและขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอด
วว. ได้วิจัยและพัฒนาไพลเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น ยาทาภายนอกสูตรผสมแก้ปวดข้อ, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นจากน้ำมันไพล, น้ำมันขจัดเห็บหมัดในสุนัข ช่วยดับกลิ่นสุนัข ทำให้ไม่ต้องอาบน้ำบ่อย, ไพลยังสามารถนำมาทำเวชสำอาง เช่น ครีมพอก ช่วยรักษาผิว ทำให้ผิวพรรณผ่องใส แก้สิว, มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Nanocoat ไพลลงบน elastic microfiber ใช้พันตามข้อแก้ปวดข้อ และบนแผ่นพลาสเตอร์ใช้แปะแก้ปวดเมื่อยจาก office syndrome นอกจากนี้ บริษัท Kovic และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติยังได้ผลิตสารสกัดที่มีการควบคุมคุณภาพ (standardized extract) จากไพลชื่อ Plaitanoid จำหน่ายมาได้หลายปีแล้ว
ปัจจุบันไพลเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มาก นอกจากใช้ทำลูกประคบสำหรับร้านนวดไทย คลินิกแพทย์แผนไทยและในสปา รวมทั้งเพื่อส่งออกแล้ว น้ำมันไพลยังนำมาผลิตยาใช้ภายนอก ทาแก้ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก ส่วนกากของไพลที่สกัดน้ำมันออกแล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ได้เพราะยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบอยู่
การขยายพันธุ์ : ใช้เหง้าปลูก โดยคัดเลือกหัวพันธุ์ที่มีอายุ 7-9 เดือน มีตาสมบูรณ์ ไม่มีโรคแมลงทำลาย นำมาแบ่งหัวพันธุ์ โดยการหั่น ขนาดของเหง้าควรมีตาอย่างน้อย 3-5 ตา หรือแง่งมีน้ำหนัก 15-50 กรัม จากนั้นแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง เช่น เพลี้ยหอยด้วยมาลาไธออน หรือคลอไพรีฟอส 1-2 ชั่วโมง ตามอัตราแนะนำ และชุบท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราก่อนปลูก การปลูกควรปลูกในฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เพราะฤดูอื่นไพลจะพักตัวไม่งอก
แหล่งปลูก : สระแก้ว สุราษฎร์ธานี
เหง้าไพลประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย
ซึ่งมีสาระสำคัญที่ทำหน้าที่ในการออกฤทธิ์ เช่น sabinene (27-34%), b-terpinene (6-8%), a-terpinene (4-5%), terpinen-4-ol (30-35%) และ (E)-1-(3,4-dimethoxyphenyl) butadiene (DMPBD) (12-19%) น้ำมันหอมระเหยไพล มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ในน้ำมันหอมระเหยไพลมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดบวม ปวดเมื่อย และต้านการอักเสบได้ดี นอกจากนี้เหง้าไพลยังมีสาร cassumunarin A, B และ C ซึ่งเป็น complex curcuminoids ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีอีกด้วย ส่วนฤทธิ์ในด้านอื่น ๆ มีดังนี้
1. ฤทธิ์ลดการอักเสบ
2. ฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่
3. ฤทธิ์ต้านฮิสตามีน
4. ฤทธิ์แก้ปวด
5. ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย
6. ฤทธิ์ต้านเชื้อรา
7. ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ
ผลิตภัณฑ์จากไพล
– ผลิตภัณฑ์สุขภาพ >>> ลูกกลิ้งไพล เจลรักษาสิว โคลนพอกหน้าและตัว เจลไพล ปาล์ม เจลลูกประคบ เจลไพลขิง ผงอบสมุนไพร โลชั่นทาแผลจากไพล ผลิตภัณฑ์รักษาแผลในช่องปาก แผ่นผ้าอนามัยสำหรับสตรี
– ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด >>> น้ำยาเช็ดพื้นจากไพล
– ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ >>> แชมพูอาบน้ำสุนัข สเปรย์ไพลซิดัล (กำจัดเห็บและหมัด) โลชั่นไพลซิดัล (ช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนังจากการถูกเห็บหมัดกัด)
ลูกประคบสมุนไพร เป็นผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ในสถานบริการนวดไทยและสปาไทยทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ลูกประคบสมุนไพรชนิดแห้งเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีการส่งออกนำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก
ตัวยาที่นิยมใช้ทำลูกประคบ ได้แก่ ไพล (500 กรัม) แก้ปวดเมื่อย เคล็ด ขัดยอก ลดการอักเสบ ขมิ้นชัน (100 กรัม) ช่วยลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง ตะไคร้บ้าน (100 กรัม) แต่งกลิ่น ผิวมะกรูด (200 กรัม) ถ้าไม่มีใช้ใบแทนได้ มีน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน ใบมะขาม (300 กรัม) แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยบำรุงผิว ใบส้มป่อย (100 กรัม) ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน เกลือ (1 ช้อนโต๊ะ) ช่วยดูดความร้อนและช่วยพาตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้สะดวกขึ้น การบูร (2 ช้อนโต๊ะ) แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ
วิธีทำลูกประคบ
*** อาจผสมสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับภูมิภาค ซึ่งจะใช้สมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นส่วนประกอบวิธีการใช้ลูกประคบสมุนไพร
นำลูกประคบที่นึ่งประมาณ 15-20 นาที จนร้อนได้ที่แล้วมาทดสอบความร้อนโดยแตะที่ท้องแขนหรือหลังมือก่อนนำไปใช้ โดยในช่วงแรกที่ลูกประคบยังร้อนอยู่ ต้องประคบด้วยความเร็วเพียงแตะลูกประคบแล้วยกขึ้น แต่เมื่อลูกประคบคลายความร้อนลงสามารถวางลูกประคบได้นานขึ้นพร้อมกับกดคลึงจนกว่าลูกประคบคลายความร้อน แล้วจึงเปลี่ยนไปใช้ลูกใหม่แทน ข้อควรระวังในการประคบสมุนไพร คือไม่ควรใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไป โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่เคยเป็นแผลมาก่อนหรือบริเวณที่มีกระดูกยื่น และต้องระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยโรคเบาหวาน อัมพาต เด็กและผู้สูงอายุ เพราะมักมีความรู้สึกในการรับรู้และตอบสนองช้า อาจทำให้ผิวหนังไหม้พองได้ง่าย ประโยชน์ของการประคบสมุนไพร มาจากทั้งความร้อนและตัวยาสมุนไพร โดยมีผลกระตุ้นหรือเพิ่มการไหลเวียนเลือด, ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวดเมื่อย ลดการติดขัดของข้อต่อบริเวณที่ประคบและทำให้เนื้อเยื่อ พังผืดยืดตัวออก และลดอาการบวมที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือบริเวณข้อต่อต่าง ๆ
ข้อมูลจาก หนังสือคู่มือการดูแลสุขภาพด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ที่มา : เดลินิวส์ 6 เมษายน 2557