หัวใจ เป็นอวัยวะที่สำคัญ เพราะมีหน้าที่คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย หากเราใช้หัวใจทำงานหนักเกินไปจนทำงานผิดปกติหรือหยุดทำงานโดยไม่รู้ตัวที่เรียกว่า “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” หากได้รับการปฐมพยาบาลหรือทำการรักษาไม่ทันอาจเป็นเหตุให้เสียชีวิตลงได้ และที่น่ากลัวกว่านั้นคือในผู้ป่วยบางรายที่ภายนอกร่างกายดูแข็งแรงไม่เคยเจ็บป่วยหนัก ๆ มาก่อนก็สามารถเสียชีวิตจากภาวะนี้ได้หากได้รับการช่วยเหลือไม่ถูกวิธีหรือไม่ทันเวลา
นายแพทย์ประดับ สุขุม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า จากสถิติโรคหัวใจในประเทศไทยยังคงพบอัตราการตายของผู้ป่วยเป็นอันดับต้น ๆ และโรคหัวใจก็เป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต แต่ปัจจุบันโรคหัวใจเป็นโรคที่มีทางป้องกันได้พอสมควร เพียงแต่ต้องการการเอาใจใส่ดูแล เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ซึ่งส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุที่มากขึ้น ภาวะอ้วน และไขมันสะสม สูบบุหรี่เป็นประจำ มีโรคประจำตัวคือ เบาหวานและความดันโลหิตสูง ไม่ชอบออกกำลังกาย เกิดความเครียดบ่อย ตลอดจนปัญหาทางพันธุกรรมที่เป็นตัวเร่งให้กลายเป็นโรคหัวใจ
สำหรับอาการแสดงออกถึงโรคหัวใจในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน ขณะที่เส้นเลือดเริ่มตีบตันเพียงเล็กน้อยอาจไม่แสดงอาการ จนกระทั่งวันใดหัวใจเริ่มขาดเลือดจะเริ่มมีอาการเจ็บแน่นบริเวณหน้าอกหรือเหนื่อยง่ายกว่าปกติให้เห็น สืบเนื่องจากอุบัติการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตมากขึ้นจากอาการช็อกหมดสติ หัวใจหยุดทำงาน เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ ๆ คือ จาก ภาวะของโรคโดยตรง เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนา เป็นต้น หรือเกิดจาก ภาวะหัวใจหยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงและมักจะยังมีอายุไม่มากนักหรือเรียกว่า “โรคไหลตาย” ซึ่งอาจเกิดได้กับทุกคนโดยที่ไม่ทันรู้ตัว
หัวใจหยุดทำงานโดยไม่รู้ตัว หรือภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หมายถึง ภาวะที่หัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างทันท่วงที สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีโรคหัวใจอยู่เดิมโดยที่เจ้าตัวอาจไม่ทราบหรือไม่เคยตรวจมาก่อน และถ้าในกรณีที่ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันเราจะเรียกภาวะนี้ว่า ’Sudden cardiac death“ ซึ่งภาวะนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไปมักเกิดจาก ’โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน“ (Acute myocardial infarction) จากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
ผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 35 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาชนิดไม่ทราบสาเหตุ (Hypertrophic cardiomyopathy) ภาวะนี้การออกกำลังกายเป็นตัวกระตุ้นให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากภาวะเส้นเลือดหัวใจขาดเลือดในคนอายุน้อย (Premature coronary artery disease) หรือภาวะเส้นเลือดหัวใจผิดปกติโดยกำเนิด (Congenital coronary artery anomalies) ผู้ป่วยบางรายมีระบบไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดโรคหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ ส่วนสาเหตุภายนอกที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เช่น ภาวะที่มีวัตถุกระแทกอย่างรุนแรงที่บริเวณหน้าอก ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติเฉียบพลัน หรือผู้ที่ใช้ยาโด๊ป เช่น การใช้สาร Anabolic-androgenic steroids ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะช่วยผู้ป่วยหมดสติคือ ต้องตั้งสติของตัวเองไม่ให้ตกใจจนทำอะไรไม่ได้ หลังจากนั้นให้ทำการเรียกหรือเขย่าตัวผู้หมดสติว่ายังมีการตอบสนองหรือไม่ ถ้าไม่มีการตอบสนองให้สังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการกระตุกหรือชักเกร็งหรือไม่ หรือหายใจเฮือก หรือหยุดหายใจ ให้สันนิษฐานว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันให้รีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลทันที และถ้าสามารถช่วยชีวิตพื้นฐานได้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น
ขั้นตอนการช่วยชีวิตพื้นฐาน ประกอบด้วย การนวดหัวใจ (Chest compression) เป็นการเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองให้มากขึ้น โดยปกติสมองสามารถคงทนต่อการขาดออกซิเจนได้ไม่เกิน 5-8 นาที ถ้านานกว่านี้จะทำให้เซลล์สมองตายได้ ในปัจจุบันเราแนะนำให้นวดหัวใจเพียงอย่างเดียวโดยไม่จำเป็นต้องเป่าปากร่วมด้วยก็ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้แล้ว
วิธีการนวดหัวใจทำได้ดังนี้ วางสันมือข้างที่ถนัดไว้ตรงบริเวณกลางหน้าอกผู้ป่วย และนำมืออีกข้างหนึ่งวางทับไว้ด้านบน ระหว่างทำการนวดหัวใจให้แขนเหยียดตรงตลอดเวลา จากนั้นให้ทำการกดหน้าอกให้ลึกประมาณ 1 นิ้วครึ่งถึง 2 นิ้ว โดยทำการกดและปล่อยหน้าอกให้คืนตัวสุดก่อนการกดแต่ละครั้งกดด้วยความเร็วอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที (หรือ 25 ครั้งต่อ 15 วินาที) และพยายามทำการนวดหัวใจให้ต่อเนื่องกันมากที่สุด
ส่วนการปฐมพยาบาลอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือ Automated External Defibrillator (AED) เป็นเครื่องมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดพกพา ได้รับการออกแบบให้ปล่อยกระแสไฟฟ้าจากภายนอกร่างกาย โดยจะวินิจฉัยการเต้นของหัวใจ หากพบภาวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติชนิดที่ไม่เป็นอันตราย เครื่องจะปล่อยกระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้หัวใจกลับมาทำงานตามปกติที่เรียกว่า “Defibrillation” เครื่องช็อตไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติซึ่งออกแบบมาให้ประชาชนทั่วไปใช้ได้สะดวกและปลอดภัยขึ้น
วิธีการใช้เมื่อเปิดเครื่องแล้วจะมีเสียงให้คำแนะนำ แต่ถ้าจะให้ผลดีที่สุดผู้ใช้เครื่อง AED ควรได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกต้องและถูกวิธี เพราะยิ่งใช้เครื่อง AED ได้เร็วเพียงใดโอกาสที่จะสามารถช่วยชีวิตจะยิ่งมีมากขึ้น โดยโรงพยาบาลกรุงเทพส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับการช่วยชีวิตเพิ่มมากขึ้นและวางแผนจะกระจายติดตั้งเครื่อง AED ยังสถานที่สาธารณะ ได้แก่ สถานที่ราชการ โรงเรียน มหาวิทยาลัย สนามบินฯลฯ เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงเครื่องมือให้ได้เร็วขึ้นและไม่ต้องรอเครื่องจากโรงพยาบาล ซึ่งจะใช้เวลาค่อนข้างมาก
สุดท้ายการป้องกันโรคหัวใจก็ยังถือเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาสุขภาพ รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจเช็กร่างกายเป็นประจำทุกปี เพราะเมื่อตรวจพบความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คนไข้รู้ตัวและใช้ชีวิตได้อย่างรู้เท่าทัน ป้องกันไม่ให้โรคหัวใจกำเริบเร็วเกินไป.
ที่มา : เดลินิวส์ 5 ตุลาคม 2557