ขมิ้นชัน เป็นชื่อค่อนข้างเป็นทางการของขมิ้นชนิดไทย ๆ ที่นิยมใช้กันอยู่ในบ้านเราแต่โบราณ ทั้งใช้ในการใส่ปรุงอาหาร ยกตัวอย่างเช่น อาหารหลายอย่างในภาคใต้ เช่น แกงเหลือง และใช้เป็นสมุนไพรไทย ใช้ถูทาและรับประทาน ช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ หลายอย่างหลายประการ อาทิขับลม ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย บรรเทาอาการจุกเสียด อาการปวดประจำเดือน แก้ท้องเสีย โดยเฉพาะในวัยเด็กและแก้ปวดข้อในช่วงสูงวัย ในหมู่ผู้สูงอายุไทยที่นิยมขมิ้นชันในต่างอำเภอ ต่างตำบล บางครั้งก็เรียกชื่อต่าง ๆ กันไป เช่น ขมิ้น ขมิ้นแกง ขมิ้นยวก ขี้มิ้น ตายอ สะยอ หมิ้น เป็นต้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L. ชื่อพ้อง Curcuma domestica Valeton วงศ์ตระกูล ZINGIBERACEAE ส่วนที่ใช้ คือ เหง้าสด หรือแห้ง
กรรมวิธีการผลิต
เก็บเหง้าหลังจากการปลูก 9-10 เดือน (ใบส่วนล่าง เปลี่ยนเป็นสีเหลือง) การเตรียมขมิ้นชันแห้งในทางการค้าเตรียมได้โดยนำเหง้ามาต้มกับนํ้าเติมมูลโคลงไปเล็กน้อย ต้มนาน 30 นาที ถึง 6 ชั่วโมงจนเหง้านิ่มและมีสีเข้มขึ้น นำมาผึ่งให้แห้งในที่ร่ม แล้วนำมาขัดเอาเปลือกออก หรือเก็บเหง้า แล้วทำความสะอาด แล้วฝานเป็นชิ้นหนา ตากแดดให้แห้ง
สารสำคัญของขมิ้นชันคือ สารกลุ่ม Curcuminoids: และ Curcumin, Cyclocurcumin, Flavonoid, Terpenoids นํ้ามันหอมระเหย ประมาณ 3-7.2% ประกอบด้วยสารกลุ่ม bisabolane, quaiane และ germacrane sesquiterpenes เป็นสารหลัก ส่วนสารอื่น ๆ มีบรรยายไว้ในตำรับ–ตำราต่าง ๆ กัน อาจไม่พบในขมิ้นชันไทยและอาจมีประโยชน์ไม่มากในการสร้างผลิตภัณฑ์
ข้อกำหนดในการผลิตสมุนไพรขมิ้นชันให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยที่สุดนั้น แม้จะมีข้อกำหนดมากมายหลายประการ เช่น ข้อกำหนดทางกายภาพและเคมีของเภสัชตำรับไทย ตำรับอินเดีย ตำรับจีน ตำรับเยอรมัน และตำรับของ World Health Organization (WHO) ก็ตาม ขอแนะนำให้ใช้ตำรับไทยเพราะสามารถหาข้อและคำแนะนำจากผู้ชำนาญการหลายด้านของ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกฯ เพราะสามารถทั้งตอบปัญหา ปรับปรุงวิธีการ ปรับแต่งวิธีการหรือหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรผสมใหม่ ๆ ที่แตกต่างและดีขึ้นได้ด้วย
จากการศึกษาอย่างมีระบบพบว่า มีประโยชน์ทางยาดังนี้
การใช้ที่มีข้อมูลการศึกษาทางคลินิกสนับสนุน ขับลม อาหารไม่ย่อย และลดกรด
การใช้ตามเภสัชตำรับและการแพทย์แผนเดิม บรรเทาอาการแน่น จุกเสียด ลดนํ้าหนัก ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ อาการดีซ่าน ปวดไหล่และแขน บวมช้ำปวดบวม
การใช้ตามภูมิปัญญา ขมิ้นชันทั้งสดและแห้ง เป็นยาบำรุงธาตุ ฟอกเลือด แก้ท้องอืดเฟ้อ ขมิ้นสด ๆ แก้ท้องเสีย รักษาโรคทางเดินอาหาร แก้ปวดข้อ
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ขับลม นํ้ามันหอมระเหยมีฤทธิ์ขับลม
ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ สาร curcumin มีฤทธิ์ต้านการเกิดแผล โดยกระตุ้นการหลั่งสารเมือกมาเคลือบ และยับยั้งการหลั่งของนํ้าย่อยต่าง ๆ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของลำไส้ใหญ่โดยมีผลต่อกรดหลาย ๆ ชนิดทั้งในกระเพาะและในลำไส้ใหญ่ที่จะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้กระเพาะอักเสบ ลำไส้อักเสบ และเมื่อมีอาหารและนํ้าย่อยอาหารตามปกติก็อาจจะย่อยบริเวณที่อักเสบให้เกิดเป็นแผลได้ สารสำคัญของขมิ้นชันคือ curcumin ก็จะหลั่งมาเคลือบผิวกระเพาะทำให้บรรเทาไปได้ดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้นสารสกัดขมิ้นชันยังมีผลต่อการหลั่งของกรด โดยยับยั้งที่ H2 histamine receptors และทำให้การหลั่งกรดบรรเทาลง ส่งผลให้ระคายกระเพาะหรือกัดกระเพาะได้น้อยลงเป็นแผลในกระเพาะได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ภายใต้ความเครียดหรือภายใต้ภูมิแพ้
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดแอลกอฮอล์และสาร curcumin มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Helicobacter pylori ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลที่กระเพาะอาหาร และก่อเกิดมะเร็ง
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ สารสกัดแอลกอฮอล์ สารสกัดนํ้า นํ้าคั้น สาร curcuminoids (โดยเฉพาะสาร demethoxycurcumin) และนํ้ามันหอมระเหยมีฤทธิ์ต้านการอักเสบแบบเฉียบพลันและเรื้อรังในสัตว์ทดลอง ซึ่งฤทธิ์ต้านการอักเสบช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากแผลในกระเพาะอาหารได้ สาร curcumin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยมีกลไกต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดผ่านกลไกการยับยั้งสาร ประกอบของเกล็ดเลือดและกรด arachidonic acid และยับยั้งการสร้าง thromboxane และ Ca2 signaling และเปลี่ยนแปลงการเผาไหม้ของ eicosanoid สารอีกตัวหนึ่งในขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยมีกลไกต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดผ่านกลไกการยับยั้งกรด arachionic acid และตัวต้านการกระตุ้นเกล็ดเลือด
ฤทธิ์ขับนํ้าดี สารสำคัญที่มีฤทธิ์ขับนํ้าดีคือ สาร curcumin, sodium curcuminate และ cineolo
ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สารสกัดขมิ้นชันมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้ และมดลูก
ฤทธิ์ช่วยทำให้ไตพิการเนื่องจากโรคเบาหวานดีขึ้น การป้อนสาร curcumin ขนาด 15 และ 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้หนูที่ทำให้เกิดเป็นโรคเบาหวาน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าจะช่วยทำให้ไตพิการเนื่องจากโรคเบาหวานดีขึ้น
ฤทธิ์ป้องกันการเกิดมะเร็งและต้านมะเร็ง สาร curcumin มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดมะเร็ง ต้านมะเร็งและป้องกันการลุกลาม โดยยับยั้งเซลล์มะเร็งและเอนไซม์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สาร curcumin และ ar-turmerone มีผลทำให้เซลล์มะเร็งของคนหลายชนิดตายแบบ apoptosis
ฤทธิ์ปกป้องตับ สารสกัดขมิ้นชัน 1% มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของตับหนูจากสาร D-gatactosamine สารกลุ่ม curcuminoids มีฤทธิ์ปกป้องตับในหลอดทดลองได้ดีเทียบเท่าสารมาตรฐาน silybin และ silychristin สาร curcumin มีฤทธิ์ปกป้องตับ โดยมีผลต่อสารที่ก่อเกิดมะเร็งที่ตับ (N-nitrosodiethylamin (DENA)
ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น สารกลุ่ม curcuminoids มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น โดยสาร curcumin มีฤทธิ์ดีที่สุด และมีฤทธิ์ดีกว่าวิตามินซี และ resveratrol
ฤทธิ์ต้านการเกิดโรคความจำเสื่อม (Alzheimer disease) สาร calebin-A, curcumin, demethoxy-curcumin, bisdemethoxycurcumin และ 1.7-bis (4-hydroxyphenyl)–1-heptene-3.5-dione มีฤทธิ์ต้านการเกิดโรคความจำเสื่อม โดยมีผลป้องกันการถูกทำลายของเซลล์สมอง
ฤทธิ์ต้านความซึมเศร้า สารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต้านความซึมเศร้าเรื้อรังอย่างอ่อนในหนูขาว เช่นเดียวกับสารสกัดนํ้า ซึ่งมีกลไกการต้านการซึมเศร้าโดยยับยั้งการทำงานของ monoamione oxidase A (MAO)
กลไกการนำส่งยา สารกลุ่ม curcuminoids มีผลต่อการนำส่งยาโดยมีผลยับยั้งเอนไซม์ P-glycoprotein
ฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ cytochrome P450s: สารสกัดเมทานอลมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ CYP3A4 สาร curcumin มีผลต่อเอนไซม์ CYPIA2, CYP3A4, CYP2D6, CYP2C9 และ CYP2B6 ซึ่งจะมีผลต่อการเผาผลาญสารต่าง ๆ ในร่างกาย แต่สารมีสลายตัวแล้วของ curcumin จะไม่มีผลดังกล่าว
ขมิ้นชันนี้ไม่ใช่มีเฉพาะในประเทศไทย แต่สามารถปลูกได้แพร่หลายในเอเชียตอนใต้ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สหพันธรัฐมาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย แถบคาบสมุทรอินเดีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศผู้ส่งออกได้แก่ สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐอินโดนีเชีย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายสนับสนุนสมุนไพร 5 ประเภทเป็นผลิตภัณฑ์นำหน้า (Champion Product) สำหรับประเทศไทยให้สัมฤทธิผลภายในช่วง 2-3 ปีนี้ ได้แก่ ใบบัวบก ซึ่งคอลัมน์นี้ได้นำเสนอไปให้ผู้อ่านไปแล้ว 2 ตอน ตัวต่อมาก็คือ กวาวเครือ โดยเฉพาะกวาวเครือขาว ไพร สมุนไพรรวม ได้แก่ ลูกประคบและตัวสุดท้ายคือ ขมิ้นชัน ซึ่งนำเสนอให้กับท่านผู้อ่านวันนี้เพื่อเน้นคุณค่าของสมุนไพรไทย ซึ่งยังใช้ได้เป็นยาทาภาย นอกและการผลิตแบบเก่าซึ่งหลายวิธีใช้ดื่มกินได้เพื่อบรรเทาอาการ แต่ขอให้แน่ใจว่า ผลิตถูกต้องปราศจากสารพิษเจือปนหรือปราศจากเชื้อโดยขอคำแนะนำได้จาก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกฯ รวมทั้งศึกษาหาวิธีผลิตให้เหมาะสมแบบสมุนไพรเดี่ยวหรือสมุนไพรรวมหลายประเภท ทั้งการผลิตที่เป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง และเป็นยาแผนโบราณที่ผลิตโดยกรรมวิธีสมัยใหม่
ข้อมูลจาก หนังสือ “คุณภาพเครื่องยาไทย งานวิจัยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดย ภญ.รศ.ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ และ ภญ.ผศ.ดร.นงลักษณ์ เรืองวิเศษ.
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ที่มา: เดลินิวส์ 5 มกราคม 2557
.
สมุนไพรไทย ‘สมุนไพร’ ตอนที่ 2
ไม่เพียงฤทธิ์ต่าง ๆ ของสมุนไพรขมิ้นชันซึ่งดูวิเศษดังที่เสนอความรู้ไว้ในตอนที่ 1 เท่านั้น แต่ก็มีการศึกษาทางด้านพิษวิทยาด้วยพบว่า
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ ขมิ้นชันและสาร curcumin ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ทั้งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง
การศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลัน ขนาดของสารสกัดเอทานอล 50% ที่ทำให้หนูตายครึ่งหนึ่ง (LD) มีค่ามากกว่า 15 กรัม/กิโลกรัม โดยการป้อนทางปาก ฉีดใต้ผิวหนัง และทางช่องท้อง
การศึกษาความเป็นพิษเรื้อรัง การให้สาร curcuminoids ในขนาดที่ใช้ในคน 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน 6 เดือน ไม่ทำให้เกิดพิษในหนูขาว แต่สาร curcuminoids ในขนาดสูงอาจมีผลต่อการทำงานและโครงสร้างตับได้ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่กลับเป็นปกติได้เมื่อหยุดใช้
การศึกษาทางคลินิก
ประสิทธิผลในการรักษาอาการท้องเสีย รายงานจากอินโดนีเซียพบว่าขมิ้นชันใช้รักษาอาการท้องเสียได้
ประสิทธิผลในการรักษาอาการแน่นจุกเสียด การรับประทานขมิ้นชัน ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน นาน 7 วัน มีผลการรักษาดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ยาและที่ได้รับประทานยา flatulence
ประสิทธิผลในการรักษาแผลในทางเดินอาหาร การรับประทานขมิ้นชัน ครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน จะบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลได้ และการให้ขมิ้นชัน (300 มิลลิกรัม/แคปซูล) ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ แผลหายในผู้ป่วย 19 ราย ใน 25 ราย (คิดเป็น 76%) อีกการทดลองในผู้ป่วย 45 คน รับประทานขมิ้นชัน (300 มิลลิกรัม/แคปซูล) ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 5 ครั้ง พบว่าผู้ป่วยแผลหายภายใน 4 สัปดาห์ จำนวน 12 ราย หายภายใน 8 สัปดาห์ จำนวน 18 ราย หายภายใน 12 สัปดาห์ จำนวน 19 ราย การศึกษาผลของสาร curcumin ในการยับยั้งเชื้อ Helicobacter pylori ในผู้ป่วย 25 คน พบว่าสาร curcumin ขนาด 30 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 2 เวลา ไม่มีผลในการยับยั้งเชื้อ แต่อาการโรคกระเพาะดีขึ้น
ประสิทธิผลลดการบีบตัวของลำไส้ การรับประทานขมิ้นชัน วันละ 162 มิลลิกรัม พบว่ามีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ได้
ประสิทธิผลในการรักษา Irritable bowel syndrome (IBS) ในการทดลองแบบ partially blinded randomized trial ในอาสาสมัครจำนวน 500 คน รับประทานสารสกัดมาตรฐานขมิ้นชัน ขนาด 1 และ 2 เม็ด เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าสามารถลดอาการดังกล่าวได้
ความเป็นพิษในคน การศึกษา clinical trial Phase I พบว่าการรับประทานสาร curcumin ในปริมาณ 10 กรัมต่อวัน ไม่ก่อเกิดพิษ และการรับประทานน้ำมันหอมระเหยขมิ้นชันในปริมาณ 0.6 มิลลิลิตร วันละ 3 เวลา เป็นเวลา 1 เดือน และ 3 เดือน ในอาสาสมัครจำนวน 9 คน พบว่ามีความปลอดภัย
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีท่อน้ำดีอุดตัน ผู้ที่ไวต่อขมิ้นชัน และผู้ป่วยโรคนิ่วควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
ข้อควรระวัง
ควรระมัดระวังการใช้ในหญิงมีครรภ์และเด็ก ยกเว้นภายใต้การดูแลของแพทย์ ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิต้านทาน
ปฏิกิริยาระหว่างยา
ยากลุ่มต้านการอักเสบ (NSAIDs),antiplatelet agent (เนื่องจากขมิ้นมีผลทำให้เกล็ดเลือดไม่เกาะกลุ่ม) ยาที่มีผลต่อ cyto-chrome P450 (ขมิ้นมีผลยับยั้ง cytochrome P450, CYP1A1/1A2) ยาลดไขมันในเลือด (ขมิ้นมีผลในการลดระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL)
อาการไม่พึงประสงค์
ผิวหนังอักเสบจากการแพ้ ขมิ้นขนาดยาที่สูงจะทำให้เกิดการระคายเคืองทางเดินอาหาร
รูปแบบยาและขนาดการใช้
ยาแคปซูลที่มีผงเหง้าขมิ้นชันแห้ง 250 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 2-4 แคปซูล วันละ 4 กรัม หลังอาหารและก่อนนอน หรือยาผง ขนาด 3-9 กรัมต่อวัน หรือยาชง ขนาดผงยา 0.5-1 กรัม วันละ 3 เวลา หรือยาทิงเจอร์ ขนาด 0.5-1 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง
ผลจากงานวิจัยสรุปว่าเครื่องยาขมิ้นชันจากงานวิจัย มีคุณภาพทางกายภาพและทางเคมีตามเกณฑ์มาตรฐานของเภสัชตำรับเยอรมัน แต่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของเภสัชตำรับไทย อินเดีย จีน และองค์การอนามัยโลก เนื่องจากมีปริมาณเถ้าไม่ละลายในกรดมากกว่า 1% และมีปริมาณสารเคอร์คิวมินอยด์น้อยกว่า 5-8% เครื่องยาขมิ้นชันมีปริมาณสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหยคือ ar-turmerone 38% curlone 16% และ tumerone 13% รวมทั้งหมดเท่ากับ 67% ซึ่งมากกว่าข้อมูลที่ได้สืบค้น (60%)
จะเห็นได้ว่าจากบทความและข้อมูลที่ผมนำมาเสนอนี้ ได้มีการสกัด ตรวจค้น ค้นหา และค้นคว้ามามากพอสมควร กระนั้นก็ตามยังไม่สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปผลิตอะไรได้จนกว่าจะได้รับคำแนะนำเฉพาะในความรู้ที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้ เพื่อนำไปผลิตเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ยาประเภทสมุนไพรประเภทเครื่องดื่มบำรุง เครื่องดื่มเสริมสุขภาพ หรือยาก็ตาม ขั้นตอนการผลิตที่เหมาะสมยังเป็นอีกช่วงหนึ่ง แต่ขออย่าท้อถอยครับ ทุกอย่างไม่ยากเท่าที่คิด และเมื่อเป็นผลผลิต ผลิตภัณฑ์แล้ว ผลตอบแทนคุ้มค่า เพราะขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง
ข้อมูลจาก หนังสือ “คุณภาพเครื่องยาไทย งานวิจัยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดย ภญ.รศ.ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ และ ภญ.ผศ.ดร.นงลักษณ์ เรืองวิเศษ
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ที่มา: เดลินิวส์ 12 มกราคม 2557