‘ตับอักเสบ – ตับแข็ง’ ตอนที่ 1 ทบทวนสาเหตุ 10 ประการ
คนทั่วไปเวลาได้ยินคำว่า ตับอักเสบหรือตับแข็ง มักจะคิดถึงการดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด ก่อนอื่นช่วยกันล้างสมองเอาความคิดนี้ทิ้งไปก่อน แล้วเริ่มกันใหม่ ๆ จริง ๆ แล้วมีโรคมากมาย โรคอะไรก็ตามที่ไปทำลายตับแบบเรื้อรังย่อมทำให้เกิดเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังได้ เมื่อเป็นไปนาน ๆ หลายปีก็จะกลายเป็นตับแข็ง เพราะฉะนั้น ตับแข็งก็ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเหล้าเสมอไป บ้านเราสาเหตุที่พบได้บ่อยคือ ไวรัสตับอักเสบบี ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินขนาด ไวรัสตับอักเสบซี ไขมันเกาะตับ นอกนั้นยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่พบรอง ๆ ลงไป ดูได้จากตารางข้างล่าง สาเหตุของตับอักเสบเรื้อรังพอจะแบ่งเป็นกลุ่มโรคได้หลายกลุ่ม ดังนี้
เมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้ สำหรับท่านที่ต้องการความรู้เบื้องต้นก็อ่านผ่านตาที่ตารางข้างต้น สำหรับหลายท่านที่ประสบปัญหากับโรคตับอักเสบเรื้อรัง ขอให้อ่านต่อเฉพาะโรคที่แพทย์ให้การวินิจฉัย หรืออ่านไปถามแพทย์ เผื่อว่าแพทย์ยังไม่ได้ทำการวิเคราะห์หาสาเหตุเหล่านั้น และที่สำคัญก็เพื่อทำความเข้าใจในแต่ละสาเหตุที่ท่านเป็นอยู่ ผู้ป่วยหลายท่านที่เป็นโรคประหลาด ๆ ก่อให้เกิดปัญหากับตับท่านนั้น จะหาอ่านข้อมูลที่เป็นภาษาไทยได้ค่อนข้างยาก แพทย์ก็ยังไม่รู้จะบัญญัติศัพท์ภาษาไทยอะไรมาบอกท่าน ได้แต่พูดเป็นภาษาอังกฤษที่ไม่ได้สื่อความหมายอะไร ติดตามศึกษาจากบทความตามนี้พอสรุปให้ท่านทราบได้พอสังเขป
โรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัส
ไวรัสบีและไวรัสซีเป็นปัญหาใหญ่สำหรับบ้านเราและทั้งโลก ว่าไปแล้วถ้านับไปเรียงตัว ท่านทราบหรือไม่ว่า คนไทยทุก ๆ 12 คนจะมี 1 คนที่มีไวรัสตับอักเสบบีหรือซีซ่อนอยู่ 1 คน คนไทย 65 ล้านคน มีไวรัสบีประมาณ 3 ล้านกว่าคน มีไวรัสซีประมาณ 1 ล้านกว่าคน ปัญหาใหญ่ของไวรัส 2 ตัวนี้คือ แอบซ่อนอยู่แบบไม่แสดงอาการ หรือบางท่านรู้ทั้งรู้แต่ไม่ได้ใส่ใจรักษา ปล่อยไวรัสทำลายตับไปนาน ๆ คล้าย ๆ เป็นสนิมอยู่ในตับ ตับก็ถูกกัดกร่อนไปเรื่อย ๆ ผ่านไป 20-30 ปีก็จะเข้าสู่ระยะตับแข็งแบบไม่รู้ตัว ตับแข็งต่อไปอีกสัก 10 ปีจึงค่อย ๆ แสดงอาการบวมที่ขา ท้องโต สับสน อาเจียนเป็นเลือด หรือบางคนก็เกิดเป็นมะเร็งตับแทรกขึ้นมา
โรคตับจากแอลกอฮอล์
ส่วนใหญ่ท่านที่ดื่มแอลกอฮอล์จัดจนเกิดปัญหา อ่านถึงบรรทัดนี้ก็คงรีบปิดหนังสือ เพราะอย่างไรก็ไม่ยอมหยุดดื่ม นี่สิเรื่องใหญ่ พวกที่ยอมเชื่อก็จะลองหยุดเหล้าแล้วไปดื่มไวน์แทน เพราะหลอกตัวเองว่าไวน์มันเบากว่าเหล้า ว่าเข้าไปนั่น ยกคำที่หมอหัวใจชอบเอามาโฆษณาว่าช่วยเรื่องหัวใจและหลอดเลือดสุขภาพดีอีกต่างหาก แพทย์ก็บอกว่าไม่ได้ ต้องหยุดไวน์ ท่านเหล่านั้นก็หลบไปดื่มเบียร์ เพราะอ้างว่าเบียร์มีแอลกอฮอล์น้อย ไม่สร้างปัญหา แพทย์ก็ต้องขอร้องต่อไปว่า เบียร์ก็ไม่ได้เพราะดื่มมาก ๆ ก็ได้แอลกอฮอล์เข้าไปเยอะเช่นกัน ท่านรู้มั้ย กิเลสที่สิงสู่ในคนติดเหล้าบอกให้เจ้าตัวทำอย่างไรต่อ ท่านเหล่านี้ก็จะกลับมาด้วยการดื่มไลท์เบียร์ ภาษาอังกฤษคำว่า ไลท์ (Light) แปลว่า เบา ก็คือเบียร์ เบา ๆ เบียร์บาง ๆ ทราบหรือไม่ ไลท์เบียร์ของไทยปริมาณแอลกอฮอล์ใกล้เคียงกับเบียร์มาตรฐานทั่วไป
โรคภูมิต้านทานไปทำลายเนื้อเซลล์ตับ เรียกภาษาแพทย์ว่า ออโต้อิมมูน เฮ็บปาไตติส (Autoimmune hepatitis) “ออโต้” แปลว่า ต่อตัวเอง “อิมมูน” แปลว่า ภูมิต้านทาน “เฮ็บปาไตติส” แปลว่า ตับอักเสบ เมื่อแปลโดยรวมก็คือ โรคตับอักเสบที่เกิดจากภูมิต้านทานของตัวเองต่อตับ ผู้ที่เป็นก็จะเกิดมีตับอักเสบเรื้อรังเป็นส่วนใหญ่ เป็นแบบกัดกร่อนไปทีละน้อย หรือเกิดอักเสบแบบรุนแรง บ้างก็รุนแรงจนเกิดภาวะตับวาย โรคนี้มักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แพทย์จะให้การวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจเลือดหาค่าเลือดบางอย่าง ที่ช่วยชี้แนะว่าอาจจะมีโรคนี้ซ่อนอยู่ ได้แก่ Antinuclear Antibody (ANA) และ Anti-smooth muscle antibody เป็นต้น และต้องตรวจหาว่าไม่มีโรคอื่น ๆ จากนั้นจะต้องตรวจดูเนื้อตับด้วยกล้องจุลทรรศน์ว่ามีลักษณะจำเพาะที่เข้าได้กับโรคนี้ โรคนี้รักษาได้ด้วยยากดภูมิ ได้แก่ สเตียรอยด์ เป็นต้น
โรคตับจากหัวใจวายเรื้อรัง
โรคนี้เกิดจากโรคหัวใจวายชนิดเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหัวใจซีกขวาวายมาก ๆ ด้วยเหตุใดก็ตาม ในที่สุดเลือดก็จะคั่งอยู่ในตับ ตับขาดสารอาหารจากเลือด ความดันในตับสูง ตับโต ม้ามโต ตับอักเสบเรื้อรัง จนเกิดตับแข็งในที่สุด โรคนี้ต้องแก้ที่โรคหัวใจถึงจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
ข้อมูลจาก นายแพทย์ ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ ศูนย์โรคตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ที่มา : เดลินิวส์ 12 ตุลาคม 2557
‘ตับอักเสบ – ตับแข็ง’ ตอนที่ 2 สุรา นานาประเภทกับตับแข็ง
โรคตับจากแอลกอฮอล์เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มาก และดื่มมานานระยะหนึ่ง นานขนาดไหน ประมาณ 5-10 ปีขึ้นไป ก็ขึ้นกับปริมาณที่ดื่มด้วย เห็นอย่างนี้ไม่ใช่ชี้โพรงให้กระรอก เดี๋ยวก็บอกตัวเองว่า ดื่มแค่ 2-3 ปีก็พอให้สะใจแล้วจะหยุด อย่าลองแบบนั้น เพราะลองแล้วหยุดไม่ได้ ผู้หญิงโชคไม่ดีเกิดโรคตับจากแอลกอฮอล์ได้ง่ายกว่าผู้ชาย ไม่ว่าท่านจะดื่มแอลกอฮอล์ชนิดใดก็ตาม จะเป็นเหล้าขาว เหล้าแดง
วอดก้า ไวน์ขาว ไวน์แดง เบียร์ ลาร์คเกอร์ ถ้าดื่มมากถึงระดับหนึ่งก็เกิดปัญหากับตับได้เช่นกัน ถ้าจะดื่มก็ขอให้เป็นการดื่มเวลาเข้าสังคม ดื่มพอตึง ๆ ให้สนุกสนาน ดื่มแบบนี้ไม่เป็นอะไร แต่ก็อย่าอ้างว่าต้องเข้าสังคมทุกวัน เพื่อนคะยั้นคะยอ ผิดธรรมเนียมถ้าไม่ดื่ม เหล่านี้มักจะเป็นข้ออ้างของคนติดแอลกอฮอล์
ดื่มได้เท่าไรจะไม่เกิดโรคตับ เป็นคำถามที่พบบ่อย เพราะคนอยากดื่ม ถ้าพูดตามมาตรฐานโลกมีสถิติบอกไว้ว่า ผู้ชายดื่มได้ไม่เกิน 21 ยูนิต (ดริ๊งค์) ต่ออาทิตย์ ผู้หญิงดื่มได้ไม่เกิน 14 ยูนิต (ดริ๊งค์) ต่ออาทิตย์ คำว่า 1 ยูนิต เทียบเท่ากับแอลกอฮอล์ 8 กรัม ถ้าเทียบให้ง่ายขึ้น
เหล้าแดง (วิสกี้ 40%) 25 ซีซี เท่ากับ 1 ยูนิต
ไวน์ (12%) 1 แก้วเล็ก 175 ซีซี เท่ากับ 2 ยูนิต
ไวน์ (12%) 1 แก้วใหญ่ 250 ซีซี เท่ากับ 3 ยูนิต
เบียร์ (5%) 1 แก้วใหญ่ หรือ 1 ไพน์ (pint = 568 ซีซี) เท่ากับ 3 ยูนิต
ถึงตรงนี้ก็คงจะทำให้บางท่านสับสนมากขึ้น เอาเป็นว่าให้ดูจากตารางข้างล่างเป็นเกณฑ์จะง่ายกว่า ว่าในหนึ่งอาทิตย์ผู้ชายและผู้หญิงไม่ควรดื่มเกินกว่าเท่าใดตาราง แสดงปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิด ไม่ควรเกินเท่าใด ของผู้หญิงและผู้ชายภายในหนึ่งอาทิตย์
ชนิดของแอลกอฮอล์
หญิงดื่มไม่เกิน 14 ยูนิต ชายดื่มไม่เกิน 21 ยูนิต
ต่ออาทิตย์ ต่ออาทิตย์
เหล้าแดง (Whisky 40%)
1 ขวดกลม (1,000 ซีซี) 1 ใน 3 ขวด ครึ่งขวด
ไวน์ (12%)
1 ขวด (750 ซีซี) 1 ขวดครึ่ง 2 ขวดครึ่ง
เบียร์ไทย (6.4%)
1 กระป๋อง (330 ซีซี) 7 กระป๋อง 10 กระป๋อง
1 ขวดใหญ่ (640 ซีซี) 3 ขวดครึ่ง 5 ขวดเบียร์ขนาดมาตรฐาน (5%)
1 กระป๋อง (330 ซีซี) 8 กระป๋อง 12 กระป๋อง
1 ขวดใหญ่ (640 ซีซี) 4 ขวด 6 ขวดครึ่ง
ไลท์เบียร์ (3.5 – 4.2%)
1 กระป๋อง 10 กระป๋อง 15 กระป๋อง
หมายเหตุ เหล้าขาวที่ชาวบ้านชอบดื่ม ปริมาณแอลกอฮอล์ใกล้เคียงหรือมากกว่าเหล้าแดงขึ้นอยู่กับวิธีการผลิต
แอลกอฮอล์ เมื่อดื่มเกินขนาดที่ควรนานถึงระยะเวลาหนึ่งจะก่อปัญหากับตับ 4 ประการ เริ่มแรกจะมีไขมันแทรกในตับมากขึ้น ตับค่อย ๆ โตขึ้น เมื่อดื่มมากต่อไปอีกจะเริ่มมีการอักเสบของตับแทรกอยู่ในเนื้อตับ เรียกว่า ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ ถ้ายังไม่หยุดดื่มก็จะเริ่มเข้าทางแบบโรคตับอักเสบเรื้อรังจากสาเหตุอื่น ๆ คือจะมีแผลเป็นหรือพังผืดแทรกกระจายไปทั่ว ๆ ตับ คือ ในตับจะมีทั้งไขมัน การอักเสบ และพังผืด เมื่อถึงระยะที่มีพังผืดกระจายทั่วตับจะเข้าสู่ระยะตับแข็ง และท้ายที่สุดก็จะมี มะเร็งตับ เกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่ง คนที่ดื่มเหล้าจนตับแข็งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเริ่มมีขาบวม ถ้ายังไม่หยุดดื่มภายใน 5 ปี มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของคนเหล่านี้จะเสียชีวิต หรือแปลให้ง่ายเข้า ถ้ามี 2 คน 1 ใน 2 คนจะเสียชีวิตในระยะ 5 ปี หรือเอาให้ง่ายขึ้นอีก ท่านลองหยิบเหรียญขึ้นมา แล้วก็โยนหัวโยนก้อยได้เลยว่าจะเสียชีวิตหรือไม่ในระยะ 5 ปี
รีบหยุดแอลกอฮอล์เสียตั้งแต่ระยะแรก ๆ หรือแม้จะเกิดตับแข็งมากแล้วก็ตาม ถ้าหยุดแอลกอฮอล์ได้ทัน ท่านก็โชคดี ตับฟื้นตัวได้ แข็งแล้วก็คืนกลับได้ อย่าหมดหวัง แต่ในชีวิตจริงแล้ว หลายคนยินดีไปเกิดใหม่อย่างทุกข์ทรมานมากกว่าที่จะหยุดแอลกอฮอล์
โรคตับจากไขมันแทรกตับ ปัจจุบันโรคไขมันแทรกตับกลับเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากขึ้น เนื่องจากการทานอาหารที่ผิดวิธี ขาดการออกกำลังกาย ผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่น้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน และโรคเบาหวาน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ในอดีตเราคิดกันว่า ไขมันแทรกตับไม่มีผลเสียต่อการทำงานของตับ ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบของตับ ปัจจุบันเป็นที่ทราบแล้วว่า คนที่มีไขมันแทรกตับมาก ๆ จะก่อให้เกิดภาวการณ์อักเสบของตับแบบเรื้อรัง ตับแข็ง และอาจมีมะเร็งตับตามมา
โรคตับที่เกิดจากท่อน้ำดีอุดตันแบบมีสาเหตุ
โรคนี้คล้ายกับโรคพีเอสซี (PSC) ที่เกิดจากภูมิต้านทาน แพทย์ใช้คำเรียกว่า เซ็คกันดารี่ สเกลอโรสซิ่ง คอแลงไจติส (Secondary sclerosing cholangitis) ใช้คำว่า เซ็คกันดารี่ ในความหมายคือ เกิดขึ้นจากสาเหตุที่หาได้ โรคนี้จะเกิดที่ท่อน้ำดีขนาดใหญ่ทั้งในและนอกตับ มีพังผืดยึดในท่อน้ำดีจนเกิดการตีบตันของท่อน้ำดี สาเหตุที่พบได้เกิดจากการติดเชื้อในท่อทางเดินน้ำดีอย่างรุนแรง เช่น มีนิ่วในท่อทางเดินน้ำดี มักเกิดในคนที่ภูมิต้านทานไม่ดี เป็นเบาหวาน เป็นต้น เมื่อท่อน้ำดีตีบ ก็จะเกิดการติดเชื้อซ้ำซาก ในที่สุดก็จะมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ตับแข็ง และตับวายในที่สุด
ข้อมูลจาก นายแพทย์ ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ ศูนย์โรคตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ที่มา : เดลินิวส์ 19 ตุลาคม 2557
‘ตับอักเสบ–ตับแข็ง’ ตอนที่ 3 โรคภูมิต้านทานทำลายเนื้อเซลล์ตับและอื่น ๆ
มนุษย์เรามีภูมิต้านทานอยู่ในร่างกาย เอาไว้ทำหน้าที่หลาย ๆ อย่างที่สำคัญก็คือ คอยป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ ไม่ให้เข้ามาภายในกระแสเลือด หรืออวัยวะต่าง ๆ หรือแม้แต่มีเชื้อโรคหลุดเข้ามาจากบาดแผล จากเข็มฉีดยา จากอะไรก็ตาม พอเข้ามาในเนื้อเยื่อหรือกระแสเลือด ภูมิของเราก็จะรู้ทันทีว่าเชื้อโรคเป็นสิ่งแปลกปลอม เมื่อร่างกายรู้ภูมิต้านทานก็จะส่งสารต่าง ๆ และเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ เข้าไปทำลายเชื้อโรคเหล่านั้น
แต่ชีวิตไม่สวยหรูเช่นนั้นเสมอไป บางครั้งภูมิของร่างกายก็เกิดเพี้ยนขึ้นมาดันไปรับรู้ว่าร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอม เช่น ไปเห็นว่าผิวหนัง ไต หลอดเลือด ข้อกระดูก และอวัยวะหลาย ๆ แห่งเป็นสิ่งแปลกปลอม ก็จะส่งเม็ดเลือดขาวไปทำลายอวัยวะนั้น ๆ ท่านคงอาจจะได้ยินจากข่าวสารอยู่บ้าง มีดารา นักร้อง หรือผู้มีชื่อเสียงเป็นโรคที่เรียกว่า ลูปัส เป็นต้น
กลับมาที่ตับ มีโรคภูมิต้านทานต่อตัวเอง ที่ภูมิของร่างกายไปเห็นว่าเนื้อเยื่อบางส่วนของตับเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย ก็จะทำแบบที่กล่าวข้างต้นคือส่งสารต่าง ๆ หรือเม็ดเลือดขาวเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อตับส่วนนั้น ๆ
มีโรคตับเรื้อรังหลายชนิดที่จัดอยู่ในโรคภูมิต้านทานต่อตับ ได้แก่
โรคภูมิต้านทานไปทำลายท่อนํ้าดีขนาดเล็กในเนื้อตับ เรียกภาษาแพทย์ว่า ไพรมารี่ บิลิอารี่ เซอร์โรสิส (Primary billiary cirrhosis) แพทย์จะใช้คำย่อว่า พีบีซี (PBC) คำว่า “ไพรมารี่” ในความหมายนี้แปลว่า ไม่ทราบสาเหตุ “บิลิอารี่” แปลว่า ท่อนํ้าดี “เซอร์โรสิส” แปลว่า ตับแข็ง เมื่อแปลโดยรวมก็คือ โรคตับแข็งที่เกิดจากการอักเสบของท่อนํ้าดีโดยไม่ทราบสาเหตุ โรคชนิดนี้พบได้ในคนไทยเช่นกัน ที่คลินิกโรคตับของจุฬาฯ พบเกือบทุกเดือน เนื่องจากเป็นที่รวมของโรคตับที่แพทย์ทั่วไปวินิจฉัยไม่ได้ในเบื้องต้น ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการคันตามร่างกาย เนื่องจากตับขับของเสียออกทางนํ้าดีไม่ได้ ค่าการทำงานตับจะมีความผิดปกติ เมื่อตรวจเลือดจะพบมีค่าที่เรียกว่า AMA (เอเอ็มเอ) ให้ผลบวก การเจาะตับตรวจเนื้อเยื่อจะช่วยในการวินิจฉัยและบอกถึงความรุนแรงของโรคได้ โรคนี้สามารถให้การรักษาด้วยยา เออโซดีออกซี่โคลิก แอสิด (ursodexycholic acid) ซึ่งก็เป็นนํ้าดีชนิดหนึ่งในร่างกาย ผู้ป่วยจะต้องทานยาไปตลอดชีวิต จะช่วยชะลอการทำลายของตับไปได้มากพอสมควร
โรคภูมิต้านทานไปทำลายท่อนํ้าดีขนาดใหญ่ เรียกภาษาแพทย์ว่า ไพรมารี่ สเกลอโรสซิ่ง คอแลงไจติส (primary sclerosing cholangitis) แพทย์มักจะใช้คำย่อว่า พีเอสซี (PSC) คำว่า “ไพรมารี่” ในความหมายนี้แปลว่า ไม่ทราบสาเหตุ “สเกลอโรสซิ่ง” แปลว่า เกิดพังผืด ในที่นี้คือพังผืดบริเวณท่อนํ้าดี “คอแลงไจติส” แปลว่า ท่อนํ้าดีอักเสบ เมื่อแปลโดยรวมหมายถึง โรคท่อนํ้าดีอักเสบจนเกิดเป็นพังผืดบริเวณท่อนํ้าดีโดยไม่ทราบสาเหตุ โรคนี้พบค่อนข้างน้อยในประเทศไทย ผู้ป่วยจะมาด้วยการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณท่อนํ้าดีหรืออาจเข้าสู่กระแสเลือด ตรวจพบค่าการทำงานตับผิดปกติ ส่องกล้องตรวจท่อนํ้าดีจะพบการตีบตันของท่อนํ้าดีในบริเวณต่าง ๆ ของท่อนํ้าดีขนาดใหญ่ทั้งในและนอกตับ การรักษาต้องใช้การส่องกล้องขยายท่อนํ้าดีที่ตีบ ใส่ท่อระบายช่วย หรือแม้แต่กระทั่งต้องเปลี่ยนตับเมื่อเป็นมาก ๆ เข้ายังไม่มียาที่ใช้ในการรักษาได้ผลดีโรคตับที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
ยีนเป็นองค์ประกอบที่อยู่บนสายพันธุ กรรมที่อยู่ในใจกลางของเซลล์ เป็นตัวควบคุมกลไกทุกอย่างทางกายภาพของความเป็นเราเป็นเขา เช่น ความสูงต่ำ ดำขาว เป็นชายเป็นหญิง บางครั้งยีนเหล่านี้เกิดความผิดปกติ มีการเรียง
ตัวขององค์ประกอบของยีนผิดปกติไป มีโรคหลายชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของยีน ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง ในที่สุดก็ตับแข็ง โรคแรกเรียกตามชื่อผู้ค้นพบว่า โรควิลสัน (Wilson’s disease) ในประเทศไทยก็พบได้พอสมควร เกิดจากการที่ร่างกายขับถ่ายธาตุทองแดงออกจากตับไม่ได้ ในที่สุดธาตุทองแดงไปสะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่สมอง ที่ตับ มักพบในวัยเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่อายุไม่มากมาด้วยอาการตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง ซีด มือสั่น มีการเคลื่อนไหวของร่างกายบางส่วนผิดปกติ การรักษาของโรคก็มียาที่ใช้ขับธาตุทองแดงออก หรือลดการดูดซึมของธาตุทองแดง โรคที่สองเรียก เฮียริดิทารี่ ฮีโมโครมาโตสิส (Hereditary hemochromatosis) เกิดจากการมีธาตุเหล็กถูกดูดซึมเข้ามาในร่างกายมากกว่าปกติ นานเข้าก็ไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จนมีผิวหนังสีบรอนซ์ กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ ตับอ่อนผิดปกติจนเกิดเบาหวานและตับแข็ง บ้านเราพบน้อยมาก มักจะเป็นในคนยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย การรักษาต้องใช้การเจาะเลือดทิ้งเป็นระยะ ๆ เพื่อเอาธาตุเหล็กออกจากร่างกาย คนไทยจะพบโรคธาตุเหล็กสะสม ในร่างกายมาก ๆ ก็ในโรคซีดจากพันธุกรรมที่เรียกว่า ธาลัสซีเมีย (Thalassemia) ชนิดที่รุนแรงซึ่งเป็นตั้งแต่เด็ก โรคนี้แก้ด้วยการเจาะเลือดทิ้งไม่ได้ เพราะซีดมากอยู่แล้ว โรคตับมักเป็นส่วนหนึ่งของอาการหลาย ๆ อย่าง มักจะแก้ไม่ได้ เปลี่ยนตับก็ทำไม่ได้โรคตับที่เกิดจากท่อเส้นเลือดออกจากตับอุดตัน
โรคนี้พบได้ประปรายในบ้านเรา ภาษาแพทย์เรียกตามชื่อแพทย์ 2 ท่านที่ค้นพบโรคนี้ว่า บัดด์ เคียรี่ ซินโดรม (Budd Chiari syndrome) เอาเป็นว่า เส้นเลือดเส้นใหญ่ที่ออกจากตับเพื่อไปยังหัวใจเกิดการอุดตันด้วยเหตุอะไรก็ตาม เช่น มีก้อนเลือดไปอุด มีผนังเนื้อเยื่อยื่นไปในเส้นเลือดทำให้เลือดไหลผ่านไม่ได้ เป็นต้น เมื่อเกิดการอุดตัน เลือดก็จะคั่งอยู่ในตับ ความดันในตับสูงมากขึ้น เลือดต้องหาทางออกไปทางอื่น ตับหลายส่วนขาดเลือดไปเลี้ยง ในที่สุดเซลล์ตับก็ตามเกิดการอักเสบแบบรุนแรง ถ้าเป็นเร็ว เกิดตับอักเสบแบบช้า ๆ จนตับแข็ง ถ้าค่อย ๆ อุดตัน มีตับโต ม้ามโต มีนํ้าในท้อง การรักษาต้องใส่สายสวนไปขยายหลอดเลือดทำทางเดินเลือดให้ใหม่เพื่อลดความดันในตับ ที่เรียกว่า ทิปส์ (Tips) อาจจะผ่าตัดเปลี่ยนทางเดินเลือด หรือสุดท้ายต้องเปลี่ยนตับโรคตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็งโดยไม่ทราบสาเหตุ
จริง ๆ แล้วสาเหตุของโรคตับยังมีอีกมาก ยังมีไวรัสตับอักเสบที่มนุษย์ยังไม่รู้จัก มีโรคอีกหลายชนิดที่ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุ ภาษาแพทย์เราใช้คำรวม ๆ เป็นกระโถนท้องพระโรง เรียกว่า คริปโตเจนนิค เซอร์โรสิส (Cryptogenic cirrhosis) “คริปโตเจนนิค” ในความหมายนี้แปลว่า ไม่ทราบสาเหตุ “เซอร์โรสิส” แปลว่า ตับแข็ง โรคกลุ่มนี้เมื่อหาสาเหตุไม่ได้ก็แก้ไขไม่ได้ ถ้าตับอักเสบเป็นมาก นานพอควร โรคจะเข้าสู่ระยะตับแข็ง และถึงระยะหนึ่งก็จะมีตับวาย การรักษาทำได้ด้วยการเปลี่ยนตับ
ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้คงต้องเป็นคนที่สนใจตับพอสมควร หรือไม่ก็มีโรคตับที่แพทย์ใช้คำแปลก ๆ วินิจฉัยโรคให้ ยังมีโรคตับอีกหลายชนิดที่ไม่สามารถนำมาเขียนไว้ในที่นี้ ถ้าต้องการหาความรู้เพิ่มเติมคงต้องถามรายละเอียดจากแพทย์ผู้ดูแล ยิ่งถ้าโรคยาก ๆ โรคตับอักเสบเรื้อรังที่แพทย์ยังไม่สามารถหาชื่อโรคให้กับท่านได้ แนะนำให้พบแพทย์โรคตับโดยเฉพาะ
ข้อมูลจาก นายแพทย์ ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ ศูนย์โรคตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ที่มา : เดลินิวส์ 26 ตุลาคม 2557