การใช้ชีวิตที่เร่งรีบในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรีบในการดำเนินชีวิต การบริโภคอย่างเร่งรีบ การใช้ชีวิตภายใต้ภาวะความกดดันจากสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้เกิดความเครียดในรูปแบบต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวทำลายสุขภาพและผิวพรรณ ทำให้เกิดความเสื่อมของวัยที่เร็วยิ่งขึ้น แต่ในธรรมชาติยังมีสาร ’ไลโคปีน“ ที่ช่วยลดความเสียหายและเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายได้!!
จากการศึกษาวิจัยไลโคปีนที่มีในผักและผลไม้สีแดง หนึ่งในนักวิจัยที่ศึกษาในเรื่องนี้ ดร.โคอิจิ ไอซาวา ผู้จัดการส่วนงานวิจัยและพัฒนา บริษัท คาโกเมะ จำกัด เล่าว่า มะเขือเทศในแต่ละสายพันธุ์มีความน่าสนใจแตกต่างกันไป มีทั้ง มะเขือเทศสีดำ มะเขือเทศขนาดจิ๋วเท่านิ้วก้อย มะเขือเทศที่อร่อยกว่าเชอรี่ คือ จะมีรสชาติหวาน หรือจะเป็นมะเขือเทศที่มีรูปร่างยาวและขนาดใหญ่ ก็มี
โดยได้ศึกษาค้นคว้า พัฒนาและวิจัยมะเขือเทศกว่า 7,500 สายพันธุ์ จากกว่า 10,000 สายพันธุ์จากทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค้นพบสารอาหารสีแดงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่พบมากในมะเขือเทศ แตงโม และพิงค์เกรปฟรุต หรือผลไม้ที่ให้สารสีแดง สีส้ม และเหลือง ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา โดยทําหน้าที่ช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายจากการทําร้ายของอนุมูลอิสระ ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เติมน้ำและความชุ่มชื้นเสมือนเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้กับคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวพรรณได้ ส่งผลให้ผิวพรรณเนียนนุ่มขึ้น ช่วยสร้างความสดใสให้กับผิวพรรณแบบธรรมชาติ โดยช่วยเสริมให้สุขภาพโดยรวมดูดีจากภายในสู่ภายนอก
“อนุมูลอิสระในร่างกายเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ การเผชิญแสงแดดรังสีอัลตราไวโอเลต และมลพิษ การทำงาน ความเครียด ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เช่น การปาร์ตี้สังสรรค์ สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อความสนุกสนานและผ่อนคลายความตึงเครียด การนอนดึกและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
รวมทั้งการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระภัยร้ายทำลายเซลล์ในร่างกายและผิวพรรณ ทำลายคอลลาเจนผิว ส่งผลทำให้เกิดริ้วรอย ความเหี่ยวย่น และความหมองคล้ำ ไปจนถึงโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง ได้ ซึ่งโดยปกติร่างกายของเราจะมีกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่ถ้าหากมีปริมาณอนุมูลอิสระมากเกินกว่าที่ร่างกายสามารถกำจัดได้ ร่างกายก็จะอยู่ในสภาวะร่างกายเสื่อมโทรม หรือที่เรียกว่า สภาวะแก่ก่อนวัย”
ไลโคปีนยังเป็นสารช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะ คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด ได้อีกด้วย จากสถิติมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ของผู้เป็นป่วยเป็นมะเร็งที่มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหาร และกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากการสูบบุหรี่
โรคมะเร็งที่ติดอันดับต้น ๆ ของผู้หญิงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ก็คือ มะเร็งปากมดลูกและรังไข่ และสําหรับผู้ชายอายุระหว่าง 40-75 ปี มักอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก จากการศึกษาทางคลินิกในวารสารวิจัยมะเร็งปีพ.ศ. 2542 พบว่า ผู้ชายร้อยละ 83 มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากลดลง เมื่อได้รับสารไลโคปีนในเลือดสูงถึง 0.40 ไมโครกรัมต่อลิตร หรือเปรียบเทียบเท่ากับการรับประทานผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะเขือเทศ อย่าง สปาเกตตีซอสมะเขือเทศ 2 ครั้งต่อสัปดาห์
ยังมีงานวิจัยจากสาขาวิชาสารอาหารและระบาดวิทยา ภาควิชาสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า ไลโคปีนมีประสิทธิภาพในการระงับอนุมูลอิสระที่จะทําลายผนังเยื่อหุ้มเซลส์ ซึ่งเป็นสาเหตุนําไปสู่โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด พร้อมกันนี้ นักวิจัยชาวฟินแลนด์ ได้รายงานผลการวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านประสาทวิทยาแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างระดับไลโคปีนในเลือด นําไปสู่การป้องกันเส้นเลือดอุดตันในสมอง โดยหลังจากการติดตามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นชายวัยกลางคน จํานวน 1,000 คน เป็นเวลา 12 ปี พบว่า ชายที่มีระดับไลโคปีนในเลือดสูง มีส่วนสําคัญในการช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดทุกประเภท และป้องกันการเกิดเส้นเลือดอุดตันและลิ่มเลือดอุดตันได้มากถึง 59 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ยังพบว่า สารไลโคปีนมีความสำคัญกับผู้หญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์อีกด้วย โดยออกซิเจนนับเป็นก๊าซธรรมชาติที่มีผลต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่วันแรกที่ทารกลืมตาดูโลก ซึ่งในบางครั้งการได้รับปริมาณออกซิเจนมากเกินไปอาจส่งผลร้ายต่อระบบร่างกายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะภัยในวัยทารกที่ได้รับออกซิเจนมากเกินไปจนกลายเป็นสาเหตุให้เกิดอนุมูลอิสระในชั่ววินาทีแรกของลมหายใจหรือที่เรียกว่า ภาวะเครียดออกซิเดชั่น
’เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารก ซึ่งจะต้องเริ่มตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ โดยจะต้องรับประทานมะเขือเทศเพื่อเพิ่มปริมาณสารไลโคปีน โดยสารดังกล่าวสามารถส่งต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ผ่านทางสายสะดือ และในน้ำนมแม่หลังจากที่ทารกลืมตาดูโลกแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้คุณแม่และลูกในครรภ์มีสุขภาพที่ดีขึ้น ช่วยลดการเกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่นที่จะเกิดขึ้นกับทารก ในส่วนของเด็ก หากได้รับสารไลโคปีนโดยการบริโภคน้ำมะเขือเทศเป็นประจำ จะทำให้เด็กมีภูมิต้านทานมากขึ้น กล่าวคือ จะเกิดอาการของภูมิแพ้ได้ยากขึ้น“
สำหรับคนปกติโดยเฉพาะคนวัยทำงานที่นิยมรับประทานอาหารติดหวาน รวมไปถึงการบริโภคน้ำอัดลมที่เต็มไปด้วยน้ำตาล ที่จะนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้ โดยประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคเบาหวานสูงถึง 6.9 เปอร์เซ็นต์ จากการวิจัยพบว่า การรับประทานมะเขือเทศที่มีไลโคปีน ช่วยในการควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด หรือป้องกันภาวะความไวต่ออินซูลิน นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีกรดซิตริก ที่ช่วยยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีของออกซิเจนที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลอีกด้วย
จากการศึกษาและวิจัยพบว่า ไลโคปีนยังมีผลต่อร่างกาย โดยเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นร่างกายก็ยิ่งสะสมสารอนุมูลอิสระที่ทำร้ายเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ประสาทที่หน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้จดจำ ทำให้คนชราบางคนเกิดอาการหลงลืมหรือสับสนต่อเหตุการณ์ต่างๆ หากคนในวัยชรารับประทานไลโคปีนเป็นประจำก็จะช่วยยับยั้งการทำลายเซลล์ของสารอนุมูลอิสระและผลักออกจากร่างกายในเวลาต่อมา
ดร.โคอิจิ กล่าวต่อว่า สารไลโคปีนในมะเขือเทศจะพบมากในมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนเพราะจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลงทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่ามะเขือเทศสด เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ซึ่งจะพบว่า มีไลโคปีนมากเป็น 2-3 เท่าของมะเขือเทศสด อีกทั้งความร้อนและกระบวนการต่าง ๆ ในการผลิตผลิตภัณฑ์มะเขือเทศยังทำให้ไลโคปีนเปลี่ยนรูปแบบจากไลโคปีนชนิดออลทรานส์เป็นชนิดซิสซึ่งเป็นชนิดที่ละลายได้ดีขึ้น
ร่างกายของคนเราควรได้รับปริมาณไลโคปีนอย่างน้อย 20-30 มิลลิกรัมต่อวัน แต่จากการวิจัยพบว่า มะเขือเทศที่ปลูกในประเทศไทยจะมีความแตกต่างจากมะเขือเทศที่ปลูกในญี่ปุ่นตรงที่ว่ามะเขือเทศญี่ปุ่น 1 ลูกให้สารไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศที่ปลูกในประเทศไทย เมื่อเป็นเช่นนี้ คนไทยจึงจะต้องบริโภคมะเขือเทศสดประมาณ 5-6 ลูกต่อวัน เป็นประจำทุกวัน โดยจะบริโภคในช่วงใดของวันก็ได้ แต่หากใน 1 วัน บริโภคมากกว่า 20-30 มิลลิกรัมก็ไม่เป็นอะไร เนื่องจากสารไลโคปีนเป็นสารปลอดภัย และยังไม่มีรายงานใดระบุว่าได้รับสารไลโคปีนเข้าไปในร่างกายปริมาณมากแล้วเกิดผลเสียต่อร่างกาย.
ทีมวาไรตี้
ที่มา : เดลินิวส์ 24 สิงหาคม 2557