“ข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก” รู้เท่าทันก่อนโรคลุกลาม

dailynews140202_001สุขภาพดีสิ่งที่ทุกคนต่างปรารถนา การดูแลรักษาสุขภาพ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ละเลยมองข้ามความผิดปรกติที่เกิดขึ้นนับแต่เบื้องต้น ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายห่างไกลจากความเจ็บป่วย

โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก หรือ Juvenile Iidiopathic arthritis (JIA) ภัยสุขภาพสร้างความทรมานให้กับเด็กเมื่อมีอาการปวดข้อ ข้อบวม ข้ออักเสบ ฯลฯ และในบางรายที่มีอาการข้ออักเสบมากขึ้นอาจพิการและเสียชีวิตได้ โรคดังกล่าวเป็นหนึ่งใน กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง หรือที่เรียกว่า ภูมิแพ้ตัวเอง หรือ แพ้ภูมิตัวเอง ซึ่ง ภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง หมายถึงภาวะที่ภูมิคุ้มกันทำงานเกินหน้าที่เพราะหลังจากที่กำจัดเชื้อโรคไปแล้ว แต่ภูมิคุ้มกันยังคงทำงานอยู่จนทำร้ายร่างกายแทนที่จะปกป้อง

โรคข้ออักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุในเด็กก็เกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันหันกลับมาทำร้ายข้อตัวเอง ทางการแพทย์ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า ภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายข้อตัวเองนี้เกิดจากอะไรจึงเรียกโรคนี้ว่า โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กซึ่งเกิดได้กับข้อทุกส่วนของร่างกายไม่เพียงแต่ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก แต่ยังเกิดได้กับกระดูกต้นคอ บริเวณขากรรไกร ฯลฯ

แพทย์หญิงโสมรัชช์ วิไลยุค แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคข้อและรูมาติสซั่มในเด็ก หน่วยโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันและโรคข้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลให้ความรู้แนะนำวิธีสังเกตอาการโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กว่า ส่วนมากอาการของข้ออักเสบหรือข้อติดมักจะเกิดตอนเช้าหรือที่เรียกว่า ภาวะ Morning Stiffness หรือในช่วงที่อากาศเย็นซึ่งจะทำให้ขยับข้อลำบากและปวดข้อมาก สังเกตได้จากเด็กเดินกะเผลกหลังจากตื่นนอนเนื่องจากเวลาหลับไม่ได้ขยับตัว ทำให้สารอักเสบหลั่งออกมา

แต่พอตื่นนอนแล้วขยับข้อหรือในช่วงที่อากาศอุ่นขึ้น อาการข้อติดก็จะดีขึ้นซึ่งอาการลักษณะนี้อาจทำให้เด็กบางคนไม่สามารถนอนกลางวันหรือนั่งเรียนทั้งวันได้ แต่ในบางรายก็อาจมีอาการปวดทั้งวัน สังเกตได้จากเด็กที่เป็นข้ออักเสบที่ข้อเข่าจะไม่ยอมเดินจะร้องให้อุ้มตลอดเวลา หากเป็นที่สะโพกจะเจ็บเวลาอุ้ม ฯลฯ ผู้ปกครองคุณพ่อ คุณแม่จึงควรสังเกตอาการลูกว่ามีอาการข้อตึงแข็งทำให้ขยับหรือลุกลำบากหรือไม่หรือเดินกะเผลกในช่วงเช้า สังเกตอาการเจ็บปวดต่างๆจากสีหน้าท่าทางของลูก เช่น เจ็บมือหากโดนจับหรือจูงมือ เจ็บขาหรือข้อเท้าเวลาเดิน เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีอาการแสดง คือ เป็นไข้สูงวันละครั้งอาจจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็นก็ได้ หากเป็นช่วงเย็นมักจะเป็นช่วงเย็นของเวลาเดียวกัน และในช่วงไข้สูงเด็กจะมีอาการซึม แต่พอไข้ลดลงเด็กจะรู้สึกสบายดี ซึ่งต่างจากการติดเชื้อทั่วๆ ไปที่เด็กมักจะไข้สูงตลอดทั้งวัน นอกจากข้ออักเสบแล้วยังอาจจะมีอาการของผื่นเม็ดแดงๆ เล็กๆ ขึ้นเวลาที่มีไข้ขึ้นและเมื่อไข้ลงผื่นก็จะหายไป

dailynews140202_001b

“ข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก โรคนี้อาจจะยากในการวินิจฉัย แต่หากคุณพ่อ คุณแม่ช่วยสังเกตและอธิบายอาการของลูกได้ก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ในการสังเกตอาการข้ออักเสบอาจเปรียบเทียบระหว่างข้อข้างซ้ายและข้อข้างขวาหรือเปรียบเทียบกับพี่น้องหรือเพื่อนๆ หากมีอาการข้ออักเสบจะสังเกตได้ถึงข้อที่บวม นูน แดงหรือจับบริเวณข้อที่อักเสบจะรู้สึกร้อนๆ

dailynews140202_001c

อีกวิธีสังเกตจากบริเวณที่เป็น อาทิ หากเป็นข้ออักเสบบริเวณข้อเข่าให้สังเกตว่าข้อเข่าจะมีรอยบุ๋มเหมือนลักยิ้ม หากรอยบุ๋มหายไปแสดงว่าข้ออาจจะเริ่มบวมหรือมีน้ำในข้อได้ หากเป็นที่ข้อเท้าให้สังเกตขณะเด็กนอนคว่ำเท้า ข้อจะอูมขึ้นมาและหากเป็นที่นิ้วมือให้สังเกตว่าเด็กไม่สามารถจับดินสอเขียนหนังสือได้ หรือจะหยิบจับอะไรได้ลำบาก เป็นต้น”

dailynews140202_001a

โรคข้ออักเสบแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่

Systemic onset juvenile idiopathic arthritis (SoJIA) เป็นชนิดที่รุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ เพราะมีอาการอยู่ในหลายระบบของร่างกาย โดยเด็กจะเป็นไข้สูงกว่า 2 อาทิตย์ และมีผื่นแดงๆ ที่เรียกว่า ผื่นแซลมอน ขึ้นตามร่างกาย

Oligoarticular JIA หรือ pauciarticular JIA ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีอาการข้ออักเสบน้อยกว่า 5 ข้อ แต่อาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดตาอักเสบได้มากกว่าชนิดอื่นๆ

Polyarticular JIA ที่มีรูมาตอยด์แฟกเตอร์ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ จะมีอาการข้ออักเสบมากกว่า 5 ข้อ ขึ้นไปและมีอาการปวดข้อเล็กๆ เช่น ข้อนิ้วมือ หรือข้อนิ้วเท้า และเด็กที่อยู่ในกลุ่มนี้ พอโตขึ้นจะมีอาการเหมือนผู้ใหญ่ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

 Polyarticular JIA ที่ไม่มีรูมาตอยด์แฟกเตอร์ การดำเนินของโรคในกลุ่มนี้ จะรุนแรงน้อยกว่ากลุ่มที่มีรูมาตอยด์แฟกเตอร์ แต่ก็เสี่ยงต่อการเกิดภาวะตาอักเสบได้

Enthesitis related arthritis หรือ ERA จะพบอาการข้ออักเสบในตำแหน่งที่มีเส้นเอ็นไปเกาะกับกระดูก เช่น บริเวณส้นเท้า ฝ่าเท้า กระดูกสะบ้า ข้อต่อของกระดูกสันหลังบริเวณเอว เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดมาก โดยมากจะเป็นในเด็กผู้ชายอายุตั้งแต่ 6 ปี ขึ้นไป ที่คุณพ่อ – คุณแม่ หรือ พี่น้องท้องเดียวกัน มีประวัติป่วยเป็นโรคนี้

Psoriatic arthritis หรือ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน จะพบผื่นสะเก็ดเงินร่วมกับอาการข้ออักเสบ ชนิดนี้จะยากต่อการวินิจฉัยพบน้อยในเด็กไทย และ

Undifferentiated JIA ข้ออักเสบที่ไม่เข้าพวกกับ 6 กลุ่มข้างต้นซึ่งจัดอยู่ในประเภทนี้

การตรวจวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจเลือด เพื่อหาค่า CBC, ESR และ CRP และสำหรับวิธีการรักษาใช้ยาหลากหลายประเภทที่เหมาะสมกับกลุ่มโรคทั้ง 7 กลุ่ม นอกจากนี้ ผศ.มลรัชฐา ภาณุวรรณากร ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเพื่อช่วยฟื้นฟูเพิ่มอีกว่า นอกจากการใช้ยาในการรักษาโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กแล้ว คุณพ่อ คุณแม่จำเป็นต้องช่วยเหลือฟื้นฟูเด็กทางกายภาพอีกด้วย

สำหรับวิธีปฏิบัตินั้นสามารถให้ออกกำลังกายเบาๆ ที่เหมาะสมและเน้นที่การบริหารข้อต่างๆ ของร่างกาย เช่น การวิ่งช้าๆ การเดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ฯลฯ หรือการบริหารข้อเพื่อไม่ให้เกิดอาการข้อติด เช่น หากจะบริหารข้อเข่าอาจทำท่าหมุนหัวเข่า หากบริหารนิ้วมือ บริหารด้วยการกำมือแบบหลวมๆหรือฝึกบีบลูกบอล บริหารข้อเท้า อาจบริหารด้วยการยืนเขย่งหรือการกระดกข้อเท้าขึ้น-ลง ควรหลีกเลี่ยงกีฬาประเภทที่มีการกระแทกหรือการต่อสู้ เช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล หรือ เทควันโด จะทำให้ข้อเกิดการอักเสบมากขึ้นได้

นอกจากการรักษาด้วยยา และการฟื้นฟูทางกายภาพแล้วจำเป็นต้องดูแลในด้านต่างๆ อาทิ การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เลือกทานอาหารที่สุก สะอาด ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและอาหารดิบ เพราะเด็กที่ป่วยด้วยโรคนี้มักได้รับยากดภูมิคุ้มกันจึงติดเชื้อได้ง่ายซึ่งผู้ป่วยควรพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง อย่างไรก็ตามการรักษาโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กเป็นเรื่องที่ท้าทาย และละเอียดอ่อน ต้องคำนึงถึงการเจริญเติบโตของเด็ก การหมั่นสังเกตอาการและพบแพทย์ทันทีที่พบความผิดปกติจะช่วยให้อาการข้ออักเสบไม่ลุกลาม ผู้ป่วยไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคและเติบโตได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป.

ที่มา: เดลินิวส์ 2 กุมภาพันธ์ 2557

“ข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก” ตรวจพบเร็ว…รักษาได้ทันท่วงที

dailynews130113_003aข้ออักเสบเรื้อรัง โรคดังกล่าวหลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ แต่ในความจริงนั้นมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ป่วยเป็นโรคนี้และด้วยความที่ร่างกายของเด็กกับผู้ใหญ่มีความต่างกันจึงทำให้โรคข้ออักเสบในเด็กและผู้ใหญ่ไม่เหมือนกัน จึงเรียกโรคข้ออักเสบที่เกิดกับเด็กนี้ว่า โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก

แพทย์หญิงโสมรัชช์ วิไลยุค แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคข้อและรูมาติสซั่มในเด็ก หน่วยโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันและโรคข้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองหรือที่เรียกว่า ภูมิแพ้ตัวเอง ซึ่งภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง หมายถึง ภาวะที่ภูมิคุ้มกันทำงานเกินหน้าที่เพราะหลังจากที่กำจัดเชื้อโรคไปแล้ว ภูมิคุ้มกันยังคงทำงานอยู่จนทำร้ายร่างกายแทน ที่จะปกป้อง

“โรคดังกล่าวปัญหาอยู่ที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จัก อีกทั้งหลายคนไม่คาดคิดว่าสามารถจะเกิดขึ้นในเด็ก โดยเด็กจะมีอาการปวดข้อ ปวดอักเสบได้เหมือนในผู้ใหญ่ ที่สำคัญเมื่อเด็กมีอาการปวดข้อ ข้อบวม และข้ออักเสบแต่ไม่สามารถอธิบายอาการสื่อสารถึงความเจ็บปวดได้ ซึ่งกว่าพ่อแม่จะทราบ เด็กต้องทนทุกข์ทรมานมีอาการข้ออักเสบมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในบางรายอาจถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้”

โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเพราะเหตุใดภูมิต้านทานจึงทำร้ายร่างกาย สาเหตุบางอย่าง ภาวะติดเชื้อ ภาวะอุบัติเหตุกระตุ้นให้โรคกำเริบ ฯลฯ ยังคงเป็นเพียงข้อสงสัยซึ่งยังสรุปไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันโรคดังกล่าวไม่เพียงเป็นปัญหาเฉพาะในบ้านเรา หากแต่ยังเป็นปัญหาในหลาย ๆ ประเทศ

dailynews130113_003b

การสังเกตความผิดปกติของอาการและการเข้าถึงการรักษาแต่เนิ่น ๆ สิ่งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ปกครองควรสังเกตความผิดปกติโดยถ้าลูกมี อาการข้อบวม หากเป็นมานานอาจทำให้มีน้ำอยู่ในข้อ

เวลาที่จับมือจะรู้สึกอุ่นกว่าข้อข้างที่ปกติ มีรอยแดงบริเวณข้อ จับแล้วมีอาการเจ็บหรือมีภาวะกระดูกบริเวณที่อักเสบโตกว่าปกติ ทำให้ขาหรือแขนยาวกว่าอีกข้างและหากเป็นบริเวณข้อเข่าอาจสังเกตได้ว่ามีรอยบุ๋มข้าง ๆ

ส่วนอาการข้อติดช่วงเช้าที่เรียกว่า ภาวะมอร์นิ่ง สติฟฟ์
เนส (Morning Stiffness) หรือ ช่วงที่อากาศเย็นซึ่งทำให้ขยับข้อลำบากและปวดข้อมาก สังเกตได้จากเด็กจะเดินกะเผลกหลังจากตื่นนอน เนื่องจากเวลาหลับไม่ได้ขยับตัวทำให้สารอักเสบหลั่งออกมา แต่พอตื่นนอนขยับข้อ หรือช่วงที่อากาศอุ่นขึ้นอาการข้อติดจะดีขึ้นทุเลาลงซึ่งในอาการลักษณะนี้อาจทำให้เด็กบางรายไม่สามารถนอนกลางวัน หรือนั่งเรียนทั้งวันได้

นอกจากนี้อาการปวดข้อซึ่งส่วนมากเกิดในช่วงเช้าหรือช่วงที่อากาศเย็น บางรายอาจมีอาการปวดทั้งวัน สังเกตจากเด็กที่เป็นข้ออักเสบที่ ข้อเข่า จะไม่ยอมเดินจะร้องให้อุ้มตลอดเวลา หากเป็นที่ ข้อตะโพก จะเจ็บเวลาถูกอุ้ม ส่วนข้ออักเสบที่ ข้อมือ จะเจ็บเวลาถูกจับมือหรือจูงเดิน และหากเป็นที่ข้อเท้า เด็กก็จะเดินกะเผลก หากเป็นมากอาจเดินไม่ได้และในบางรายที่เป็น บริเวณกระดูกต้นคอ จะทำให้ไม่สามารถเงยหน้าหรือก้มหัวได้สุดทำให้มีปัญหาเวลาก้มลงเก็บของและเด็กบางคนอาจไม่สามารถหันซ้ายขวาได้ ถ้าข้ออักเสบ บริเวณข้อต่อขากรรไกร อาจสังเกตได้ยากโดยเด็กที่เป็นข้ออักเสบบริเวณนี้จะอ้าปากได้ไม่สุด และปวดเวลาขยับกราม หรือเคี้ยวอาหาร อาจอ้าปากได้ไม่เท่ากันสองข้างซึ่งหากเป็นนานอาจทำให้คางเล็กไป

อีกทั้งยังอาจพบอาการอื่น ๆ อาทิ ตาอักเสบ ไข้สูงโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยไข้จะขึ้นสูงในเวลาเดิมทุกวัน หรือมีผื่นเม็ดแดง ๆ เล็ก ๆ ขึ้นเวลาที่มีไข้ขึ้น และเมื่อไข้ลงผื่นก็จะหายไปไม่ควรนิ่งนอนใจควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยทันที

dailynews130113_003c

ปัจจุบันโรคข้ออักเสบ แบ่งออกเป็น 7 กลุ่มซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต โดยอาการแต่ละกลุ่มจะไม่เหมือนกันโดยเฉพาะ Systemic onset juvenile idiopathic arthritis (SoJIA) เป็นชนิดที่รุนแรงมากที่สุดและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ เพราะมีอาการอยู่ในหลายระบบของร่างกาย โดยเด็กจะเป็นไข้สูงกว่า 2 อาทิตย์ และมีผื่นแดง ที่เรียกว่า ผื่นแซลมอนขึ้นตามร่างกายเป็น ๆ หาย ๆ แต่อย่างไรก็ตามหากได้รับการรักษารวดเร็วทันท่วงทีจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
dailynews130113_003e
“โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กสามารถพบได้นับแต่อายุไม่ถึงหนึ่งขวบปีถึง 16 ปีโดยเด็กที่พบตั้งแต่อายุน้อยจะยิ่งสังเกตความผิดปกติได้ยากเนื่องจากเด็กเล็กอาจไม่สามารถสื่อสารบอกความเจ็บปวดได้ การตรวจวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาค่า CBC, ESR และ CRP และสำหรับวิธีการรักษาใช้ยาหลายประเภท อาทิ ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ชนิดเม็ดซึ่งเป็นยาชนิดแรกที่เด็กป่วยด้วยโรคข้ออักเสบทุกคนจะได้รับ ยากลุ่มสารชีวภาพ ยาที่ออกฤทธิ์เร็วและประสิทธิภาพสูงสามารถจับสารที่ก่อให้เกิดข้ออักเสบได้โดยตรง แต่ราคาค่อนข้างสูง ฯลฯ”

dailynews130113_003d

แพทย์ท่านเดิมกล่าวเพิ่มอีกว่าในการรักษาผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการทานของดิบ รวมทั้งต้องทำกายภาพบำบัด และออกกำลังอย่างถูกวิธีควบคู่ไปกับการทานยาร่วมด้วย ดังนั้นหากพบความผิดปกติเกิดขึ้นจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย.

ที่มา : เดลินิวส์  13 มกราคม 2556

.

Related Article :

.