ปลูกถ่ายตับ

การปลูกถ่ายตับเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาผู้ป่วยโรคตับแข็ง หรือโรคตับวายระยะสุดท้ายได้ ซึ่งต้องใช้แพทย์เฉพาะทางหลายสาขา ทำงานร่วมกันเป็นทีม ตลอดระยะเวลาการรักษา ทั้งก่อนการผ่าตัด หลังการผ่าตัด

รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ประธานโครงการปลูกถ่ายตับ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัย มหิดล บอกว่า  ประเทศไทยมีการปลูกถ่ายตับครั้งแรกในปี 2530 ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  หลังจากนั้นคณะแพทยศาสตร์  รพ. รามาธิบดีได้ทำการปลูกถ่ายตับในปีเดียวกัน ต่อมาประมาณปี 2533 คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดีประสบความสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายตับจากผู้ป่วยสมองตายให้กับเด็กเป็นครั้งแรกในเอเชีย แต่เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนผู้บริจาคตับ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากระหว่างรอรับการรักษา ดังนั้นในปี 2544 คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี จึงได้ริเริ่มปลูกถ่ายตับโดยใช้ตับจากพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่

ตับเป็นอวัยวะที่มีความพิเศษ  เมื่อตัดออกมาแล้วที่เหลือสามารถงอกขึ้นมาได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ รพ.รามาธิบดีทำการผ่าตัดปลูกถ่ายตับให้กับผู้ป่วยไปแล้ว 176 ราย เป็นการปลูกถ่ายตับจากพ่อแม่สู่ลูก 58 คู่  ผู้ใหญ่ให้ตับผู้ใหญ่ 3 คู่ ที่เหลือเป็นการปลูกถ่ายตับจากผู้บริจาคสมองตาย  ผลการปลูกถ่ายตับประสบความสำเร็จกว่า 90 เปอร์เซ็นต์  มีคนไข้เสียชีวิตเพียง 4 รายเท่านั้น

ในปี 2554 ที่ผ่านมา รพ.รามาธิบดีทำการปลูกถ่ายตับให้กับผู้ป่วยจำนวน 22 ราย เป็นพ่อแม่ให้ลูก 12 คู่  ตอนนี้มีผู้ป่วยรอการปลูกถ่ายตับอีก 32  คู่

โรคตับที่พบในเด็กส่วนใหญ่เป็นโรคท่อน้ำดีตีบตัน กรณีนี้พบตั้งแต่เกิดยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง เด็กจะมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง  การรักษาโดยทั่วไปถ้าตรวจพบเร็วอาจผ่าตัดเอาลำไส้ไปเสริมที่ท่อน้ำดีเหมือนการทำบายพาสเด็กสามารถเจริญเติบโตได้ แต่ไม่ใช่ทุกรายจะสำเร็จ อาจมีครึ่งหนึ่งตับเสียไป กลายเป็นตับแข็ง จำเป็นต้องเปลี่ยนตับเพื่อยืดอายุให้ยืนยาวขึ้น ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มตับอาจสร้างสารบางอย่างที่มีผลต่อระบบอื่นของร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบเลือด ก็ต้องเปลี่ยนตับใหม่เช่นกัน

ในผู้ใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนตับ อาจเกิดจากภาวะตับวายเฉียบพลัน เช่น กินเห็ดพิษ เป็นไวรัสตับอักเสบบางชนิดแล้วทำให้ตับเสียสภาพ  เป็นโรคตับวายระยะสุดท้าย  มะเร็งที่ตับ  ตับแข็ง  หรือตับสร้างสารบางอย่างแล้วส่งผลต่อระบบอื่นของร่างกาย  ผู้ป่วยจะมีอาการท้องมาน ตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลีย ขาบวม ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติไม่ได้

กลุ่มผู้ป่วยข้างต้นต้องมาเข้าคิวปลูกถ่ายตับ  เมื่อได้ตับบริจาคมา ก็ต้องพิจารณาว่ากรุ๊ปเลือดเข้ากันได้หรือไม่  ตับจากพ่อแม่บริจาคให้ลูกก็เช่นกันต้องดูกรุ๊ปเลือดเข้ากันได้หรือไม่ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา  พ่อแม่ที่บริจาคตับให้ลูกส่วนใหญ่มีร่างกายแข็งแรง การเฉือนตับจากพ่อแม่ให้ลูกใช้ประมาณ  20 เปอร์เซ็นต์ แต่ในกรณีที่เป็นผู้ใหญ่อาจต้องเฉือนเนื้อตับ 40-50 เปอร์เซ็นต์

หลังการเฉือนตับออกไปแล้ว  2-3 เดือนตับจะงอกประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์และชะลอลง ประมาณ 1 ปีก็คงที่ แต่งอกขึ้นมาไม่ 100 เปอร์เซ็นต์  โดยงอกมาประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์

สำหรับการเฉือนตับจากคนที่มีชีวิตอยู่ให้กับผู้ป่วย ก็ต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยของคนให้ด้วย รวมถึงผู้รับเองก็ต้องไม่มีปัญหาภายหลัง การเฉือนตับจึงไม่ใช่สักแต่ว่าเฉือน ตับที่เฉือนมาต้องมีท่อน้ำดี เส้นเลือดดำ เส้นเลือดแดง มีองค์ประกอบครบ

ศูนย์ปลูกถ่ายตับจำเป็นต้องมีห้องผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะซึ่งเป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องผ่าตัดพร้อมกัน 2 ห้อง 2 ทีม หลังการปลูกถ่ายตับผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องแยกปลอดเชื้อ ต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

ความสำเร็จในการปลูกถ่ายตับนอกจากอยู่ที่ความสามารถของทีมแพทย์ เทคโนโลยี ตัวผู้ป่วยและครอบครัวแล้ว  เครือข่ายผู้ปลูกถ่ายตับจากพ่อแม่สู่ลูกก็เป็นกองเชียร์ที่สำคัญ เพราะพ่อแม่หรือญาติพี่น้องผู้ป่วยจะได้ข้อมูลจากผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องช่วยกันรณรงค์และทำความเข้าใจต่อไป คือ การบริจาคอวัยวะ  ต้องบอกว่า อวัยวะหลายอย่างมีประโยชน์กับคนที่มีชีวิตอยู่  เป็นการให้ที่ดีมากและยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น กระจกตา กระดูก หลอดเลือด เส้นเลือด ผิวหนัง.

นวพรรษ บุญชาญ

 

ที่มา: เดลินิวส์ 8 กันยายน 2555

ปลูกถ่ายตับจากพ่อแม่สู่ลูก

เมื่อกล่าวถึงการปลูกถ่ายตับ มีความหมายว่า การผ่าตัดเอาตับใหม่มาใส่แทนที่ตับเดิมที่ถูกตัดออกไป เนื่องจากตับเดิมมีความผิดปกติอย่างรุนแรงจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีเพียงพอ

ปัจจุบันการปลูกถ่ายตับ เป็นวิธีการรักษาวิธีเดียวสำหรับผู้ป่วยโรคตับวายระยะสุดท้ายที่ช่วยให้มีชีวิตรอดได้ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ริเริ่มดำเนินการปลูกถ่ายตับในเด็กมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ซึ่งเป็นการปลูกถ่ายตับในเด็กสำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศไทย

โดยทั่วไปการปลูกถ่ายตับจะใช้ตับจากผู้บริจาคสมองตาย แต่เนื่องจากตับที่ได้รับจากผู้บริจาคสมองตายประสบภาวะขาดแคลน ทำให้มีผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่ายตับจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตก่อนที่จะได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ

ในปี พ.ศ.2544 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้ดำเนินโครงการ “ปลูกถ่ายตับจากพ่อแม่สู่ลูก” โดยปลูกถ่ายตับให้แก่เด็กหญิงอายุ 21 เดือน ซึ่งเป็นตับแข็งระยะสุดท้ายสาเหตุจากโรคท่อน้ำดีตีบตัน โดยคุณแม่บริจาคตับเสี้ยวหนึ่งให้แก่ผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยรอดชีวิต และมีสุขภาพดีทั้งแม่และลูก นับเป็นความสำเร็จครั้งแรกในประเทศไทยสำหรับการปลูกถ่ายตับในเด็กโดยใช้ตับบริจาคจากพ่อแม่ที่ยังมีชีวิต และโครงการนี้ได้ดำเนินงานต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว มีผู้ป่วยเด็กเข้ารับการปลูกถ่ายตับจากพ่อแม่สู่ลูก รวมทั้งสิ้น 50 ราย ปัจจุบันนับว่าเป็นสถาบันที่ปลูกถ่ายตับเด็กจากพ่อแม่สู่ลูกมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีอัตรารอดชีวิตใกล้เคียงกับระดับสากล

การปลูกถ่ายตับในเด็กโดยใช้ตับส่วนหนึ่งจากพ่อหรือแม่ หรือญาติที่ยังมีชีวิตจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายตับได้ทันเวลาและมีโอกาสในการรอดชีวิตสูงขึ้น ผู้ที่ควรได้รับการปลูกถ่ายตับ

ผู้ป่วยที่ต้องรับการปลูกถ่ายตับบ่อยที่สุดคือ ผู้ป่วยโรคตับแข็งระยะสุดท้าย ส่วนในเด็กมักมีสาเหตุจากโรคท่อน้ำดีตีบตัน ซึ่งทำให้เด็กมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองร่วมกับอุจจาระสีซีดตั้งแต่อายุ 1 ถึง 2 เดือนแรก นอกจากนี้สาเหตุอื่นที่ทำให้เด็กต้องรับการปลูกถ่ายตับ ได้แก่ ภาวะตับวายเฉียบพลัน โรคตับพันธุกรรม เนื้องอกตับที่มีขนาดใหญ่จนไม่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัด เป็นต้น

ขั้นตอนการปลูกถ่ายตับจากพ่อแม่สู่ลูก

การปลูกถ่ายตับให้แก่ผู้ป่วยเด็กโรคตับวายระยะสุดท้ายในแต่ละรายนั้น เริ่มจากการดูแลสุขภาพผู้ป่วยตั้งแต่ระยะก่อนการปลูกถ่ายตับเพื่อให้ผู้ป่วยมีความพร้อมก่อนการผ่าตัด ขณะเดียวกัน ต้องมีการตรวจสุขภาพผู้บริจาคอย่างละเอียด และตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจความพร้อม และความปลอดภัยของผู้บริจาค

ในระยะผ่าตัดต้องมีทีมผ่าตัด และวิสัญญีแพทย์พร้อมกัน 2 ห้องสำหรับการผ่าตัดบิดาหรือมารดาผู้บริจาคตับ และผู้ป่วยเด็กซึ่งเป็นผู้รับตับ หลังจากผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ยังต้องมีการติดตามดูแลผู้    ป่วยเด็กหลังการปลูกถ่ายตับต่อเนื่องระยะยาว เพื่อให้ยากดภูมิคุ้มกันและติดตามดูแลการทำงานของตับให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ส่วนผู้บริจาคหลังจากพักฟื้นระยะเวลาไม่นานก็มักจะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงและสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่งอกได้ จึงไม่มีผลกระทบต่อการทำงานของตับในระยะยาว

ปัจจัยที่ทำให้การปลูกถ่ายตับประสบผลสำเร็จ

ปัจจัยที่ทำให้การปลูกถ่ายตับเด็กได้ผลสำเร็จ นอกจากอาศัยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา ทั้งพยาบาล บุคลากรด้านต่าง ๆ ตลอดจนเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยแล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากพ่อแม่และครอบครัว ในการดูแลเด็กเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอไปตลอดชีวิต และจะต้องทานยากดภูมิคุ้มกันและยาอื่น ๆ ตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ตลอดจนการดูแลผู้ป่วยเด็กด้วยสุขอนามัยที่ดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หากได้รับการดูแลที่ดี เด็กเหล่านี้จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถไปโรงเรียนเมื่อถึงวัยเรียนและสามารถดำเนินชีวิตปกติได้เช่นเดียวกับเด็กทั่วไป

ในโอกาสที่โครงการปลูกถ่ายตับจากพ่อแม่สู่ลูกได้ดำเนินการมาครบ 10 ปี ทางคณะกรรมการปลูกถ่ายตับ คณะแพทย ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้จัดงานรำลึกครบ 10 ปี ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ความรู้แก่พ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับการดูแลบุตรหลานก่อนและหลังการปลูกถ่ายตับ นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้พ่อแม่ผู้ปกครองผู้ป่วยเด็กปลูกถ่ายตับได้พบปะสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยเด็กปลูกถ่ายตับระหว่างครอบครัว แพทย์ พยาบาล เพื่อเพิ่มพูนขวัญกำลังใจในการดูแลเด็กหลังปลูกถ่ายตับอย่างมีคุณภาพ นอกจากกิจกรรมวิชาการแล้วยังมีการแสดงของผู้ป่วยเด็กหลังปลูกถ่ายตับ และกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งงานนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับพ่อแม่ และเด็กที่รับการปลูกถ่ายตับไปแล้ว และที่ยังรอการปลูกถ่ายตับรวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจ ในวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2555 เวลา 08.30-12.00 น ณ ห้องประชุมอรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชั้น 5 ศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ กรุณาติดต่อสำรองที่นั่งได้โครงการปลูกถ่ายตับ โทรศัพท์ 0-2201-1661-2 ภายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 (ไม่มีค่าใช้จ่าย).

 
ที่มา: เดลินิวส์ 18 กุมภาพันธ์ 2555