ถ้าถามว่าอวัยวะใดในร่างกายที่มีน้ำหนักมากที่สุด ผมเชื่อว่าหลายคนคงตอบไม่ถูกเป็นแน่…คำตอบก็คือ “ตับ” ครับ เมื่อเรารับประทานอาหารไป อาหารต่าง ๆ ก็จะไปสู่ระบบทางเดินอาหารรวมถึงตับของเราด้วย ซึ่งตับจะทำหน้าที่คล้ายโรงงานของร่างกายคือ ปรับเปลี่ยนสารอาหารต่าง ๆ ให้เหมาะสมต่อการนำไปใช้งานแล้วส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงทำหน้าที่ขับของเสียในร่างกายอีกด้วย…
แต่วันดีคืนดี ตับของเราเกิดมีก้อนแปลกประหลาดโผล่ขึ้นมาล่ะจะทำอย่างไร? อย่าเพิ่งตกใจครับ เพราะไม่ได้มีเพียงก้อนเนื้อร้ายเท่านั้น ก้อนเนื้อดี ๆ ก็มีเยอะครับ และปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่ทำให้เราสามารถกำจัดก้อนเนื้อร้ายเหล่านั้นออกไปได้ครับ แต่ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราจะป้องกันไม่ให้เกิดก้อนเนื้อเหล่านั้นได้อย่างไร? วันนี้ผมมีคำตอบมาให้ทุกท่านครับ
ผศ.นพ.ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ หัวหน้าสาขาทางเดินอาหารและตับ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับตับว่า “ตับ เป็นอวัยวะที่มีน้ำหนักมากที่สุดในร่างกายของคนเรา ทำหน้าที่คล้ายโรงงานของร่างกาย ไม่ว่าเราจะทานอาหารอะไรเข้าไป พอย่อยเสร็จก็ผ่านเข้าไปในตับ ตับก็มีหน้าที่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมแล้วส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าไม่มีตับอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายก็ไม่สามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้ คำว่าปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม เช่น ย่อยเนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปให้กลายเป็นกรดอะมิโน แล้วสร้างเป็นโปรตีนชนิดใหม่ขึ้นมา นอกจากนั้นเมื่อเกิดของเสียขึ้นในร่างกาย ของเสียเหล่านั้นก็วนกลับมาที่ตับ ตับก็จะมีหน้าที่ขับของเสียทิ้งออกไปทางท่อน้ำดี ซึ่งในหน้าที่อันมากมายของตับนี้ก็มีโรคร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้นกับตับได้มากมายเช่นเดียวกัน”
โรคที่เกิดขึ้นกับตับ เช่น ตับอักเสบ, เกิดก้อนในตับ, ท่อน้ำดีในตับเกิดการอุดตัน และไขมันเกาะที่ตับ ซึ่งเมื่อก่อนคิดกันว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คงเหมือนกับไขมันที่เกาะอยู่ตามอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย แต่เมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาเราพบว่า การที่มีไขมันเกาะอยู่ที่ตับมากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดตับอักเสบหรือตับแข็งได้ และยังสามารถเกิดเป็นมะเร็งตับได้อีกด้วย
อีกหนึ่งอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับตับก็คือ “ตับวาย” ถามว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เรื่องนี้คุณหมอปิยะวัฒน์ให้คำตอบว่า อาการตับวายส่วนใหญ่เกิดเนื่องจากการอักเสบของตับ การรับประทานยาที่ผิดปกติซึ่งจะไปทำลายตับ หรือการติดเชื้อไวรัสทำให้ตับอักเสบรุนแรง ตับหยุดทำงานทันที อาการเช่นนี้เรียกว่า ตับวาย ซึ่งถ้าแพทย์สามารถวินิจฉัยได้ว่ามีอาการตับวายตั้งแต่เริ่มต้น สามารถหาสาเหตุได้ว่าตับวายเกิดจากอะไร ก็มียาที่สามารถช่วยประวิงเวลาให้ตับฟื้นกลับมาได้
นอกจากนี้ยังมี โรคตับที่เกี่ยวเนื่องกับพันธุกรรม ซึ่งคุณหมอปิยะวัฒน์บอกว่าพบได้ไม่บ่อยนักในเมืองไทย เช่น บางคนเกิดมาด้วยภาวะที่ร่างกายไม่สามารถขับธาตุทองแดงทิ้งไปจากร่างกายได้ ธาตุทองแดงก็สะสมอยู่ในตับ วันดีคืนดีตับก็เกิดอักเสบเรื้อรังขึ้นมาได้ เกิดตับแข็งและเสียชีวิตในที่สุด หรือบางคนรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กเยอะ พอดูดซึมเข้าไปในตับแล้วขับไม่ออก ก็เกิดตับแข็งได้เช่นเดียวกัน…ส่วนโรคตับที่พบได้บ่อย แต่จริง ๆ แล้วในคนไทยมักจะไม่เรียกว่าเป็นโรคทางพันธุกรรม คือโรคไวรัสตับอักเสบบี เพราะมักจะพบว่าแม่หรือญาติทางฝ่ายแม่เป็นพาหะของ ไวรัสตับอักเสบบี ลูกก็จะได้รับเชื้อดังกล่าวผ่านทางเลือดมาตั้งแต่เกิด และมาแสดงอาการเมื่ออายุ 30-40 ปีก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นคุณสุภาพสตรีทั้งหลายที่กำลังคิดจะมีบุตร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดครับ เพื่อเราจะได้ทราบว่าตนเองเป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่อย่างไร ร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงอย่างไร? อย่าวิตกไปเองครับ ให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยจะดีกว่า
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าปัจจุบันมีวิธีการ “ล้างตับ” เกิดขึ้น ซึ่งก็อาศัยหลักการเดียวกับการล้างไต แต่จะใช้กับคนไข้เฉพาะบางกรณีเท่านั้น อีกทั้งประสิทธิภาพไม่ดีเทียบเท่ากับเครื่องมือล้างไต ทำได้เพียงแค่ล้างสารพิษและคราบน้ำดีเหลือง ๆ ที่คั่งค้างออกไปได้ แต่เราไม่สามารถทำให้ตับกลับมาทำงานได้ดีเท่าที่ควร ถึงจุดหนึ่งแพทย์ก็ยังคงต้องผ่าตัดเอาตับที่เสียออกไปแล้วใส่ตับใหม่เข้าไปทำหน้าที่แทน ซึ่งเป็นตับที่ได้จากการบริจาคของผู้ใจบุญ…ฉะนั้นก่อนที่จะต้องถูกผ่าตัดตับทิ้งไปทั้งก้อน ทุกคนควรจะทราบว่า “ตับเป็นอวัยวะเพียงอย่างเดียวในร่างกายที่สามารถงอกได้คล้ายกับหางจิ้งจก” คือเมื่อตับถูกตัดทิ้งไปบางส่วนแล้วมันสามารถจะงอกกลับมาดังเดิมได้ แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยระยะเวลาและการดูแลตับที่ถูกต้องเหมาะสมเพราะถ้าสาเหตุที่ไปทำลายตับยังคงอยู่ ก็เป็นเรื่องยากที่ตับจะงอกใหม่ได้ ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่าตับแข็ง เมื่อก่อนเข้าใจว่าเป็นตับแข็งแล้วไม่มีทางหาย ไม่มีทางฟื้นกลับมาได้ แต่ปัจจุบันต้องบอกว่า “ตับแข็งหายได้…ฟื้นกลับมาได้เพราะตับงอกได้” แต่เราต้องกำจัดสาเหตุของตับอักเสบหรือตับแข็งอันนั้นก่อน หาสาเหตุของโรคเสร็จก็ให้การรักษา เมื่อโรคหยุด ตับก็หยุดอักเสบ เนื้อตับดี ตับก็สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ครับ
กลับมาที่เรื่องก้อนในตับที่ผมได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า ก้อนในตับมีทั้งก้อนที่ดีและก้อนที่ไม่ดี ซึ่งเรื่องนี้คุณหมอปิยะวัฒน์อธิบายว่า แรกเริ่มที่ก้อนในตับมีขนาดประมาณ 1-3 ซม. เรามักจะไม่ทราบ เนื่องจากไม่มีอาการแสดงใด ๆ แต่เมื่อก้อนดังกล่าวมีขนาด 10–15 ซม. ขึ้นไป คนไข้จะมีอาการจุก ๆ แน่น ๆ เป็นเหตุให้ไปพบแพทย์ จึงตรวจพบว่ามีก้อนเกิดขึ้นในตับ ซึ่งถ้าเป็นก้อนเนื้อร้าย การค้นพบในขั้นนี้นับว่ายากต่อการเยียวยารักษาแล้ว ทั้งนี้การตรวจสุขภาพประจำปีไม่สามารถบอกได้ว่าเรามีก้อนในตับหรือไม่ ต้องเพิ่มการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องด้วย จึงจะค้นพบก้อนในตับ
คุณหมอปิยะวัฒน์ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับก้อนในตับไว้ว่า
“ก้อนในตับชนิดดีหรือชนิดที่ไม่เป็นอันตราย อย่างแรกเลยก็คือ “ถุงน้ำในตับ” ซึ่งพบได้บ่อยมาก และบ่อยครั้งที่คนไข้จะวิตกกังวลว่าตนเองจะเป็นมะเร็ง หลังได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่า มีถุงน้ำในตับ ซึ่งจริง ๆ แล้วผมอยากให้สบายใจได้ว่าถุงน้ำนั้นจะไม่เจริญไปเป็นมะเร็ง แม้มันจะมีขนาดโตขึ้นได้แต่จะโตขึ้นอย่างช้า ๆ และไม่ก่อปัญหา เพียงแต่ทุกครั้งที่ไปพบแพทย์ ก็ให้แพทย์ตรวจเช็กดูว่าถุงน้ำดังกล่าวนั้นยังอยู่ดีและไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นก้อนอย่างอื่นดังที่เรากังวล เท่านี้เราก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเจ้าถุงน้ำในตับได้อย่างสบายใจแล้วล่ะครับ”
การอัลตราซาวด์ตับ นอกจากจะเห็นถุงน้ำในตับแล้ว สิ่งที่เราพบเห็นได้บ่อยอีกอย่างหนึ่งคือ กลุ่มก้อนขาว ๆ ในตับ ซึ่งนั่นคือ ก้อนกลุ่มเลือดในตับ เนื่องจากเส้นเลือดไปพันกันอยู่ตรงนั้น เรียกว่า ฮีแมงจิโอมา (hemangioma) แบบนี้ก็ปลอดภัยเช่นเดียวกัน และอีกหนึ่งก้อนในตับที่พบบ่อยในคุณสุภาพสตรี เรียกว่า “FNH (Focal Nodular Hyperplasia)” ก้อนเหล่านี้โตได้แต่โตช้าและปลอดภัย แต่ส่วนใหญ่นอกจากการอัลตราซาวด์แล้วแพทย์ต้องตรวจพิสูจน์ด้วยการเอ็มอาร์ไอ เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าก้อนดังกล่าวไม่ใช่ก้อนมะเร็งจริง ๆ
ข้อมูลจากรายการ “สุขภาพดี 4 วัย” ออกอากาศวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 เรื่อง “เมื่อตับมีก้อน” เวลา 15.00-16.00 น. ทางเดลินิวส์ทีวี.
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ที่มา : เดลินิวส์ 30 ธันวาคม 2555
.
Related Link:
.
“เมื่อตับมีก้อน…อย่านอนใจ” ตอนที่ 2 – ชีวิตและสุขภาพ
ก้อนในตับอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า อะดรีโนม่า (hepatocellular adenoma) พวกนี้มีสิทธิโตและเป็นอันตรายได้ เพราะฉะนั้นเมื่อแพทย์ตรวจพบแล้วว่าเป็นก้อนชนิดดังกล่าว ต้องมีการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดครับ และเมื่อสงสัยว่าก้อนที่ตรวจพบเป็นมิตรหรือไม่ แพทย์จะใช้เข็มเล็ก ๆ เจาะเข้าไปที่ก้อนนั้นและดูดมาตรวจดูว่าคืออะไร หรือบางครั้งการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือ MRI ก็สามารถบอกได้ครับ
“ในคนไข้บางคนแม้จะไม่ได้ทำการเจาะก้อนมาตรวจก็สามารถบอกได้ว่าก้อนที่เกิดขึ้นในตับนั้นเป็นก้อนที่ดีหรือไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ หรือตัวคนไข้เองมีโรคตับซ่อนอยู่ ทั้งไขมันในตับเรื้อรัง ดื่มสุรามาก เป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือซี หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดตับแข็ง คนเหล่านี้มีสิทธิที่จะพบก้อนเนื้อร้ายในตับได้ เมื่อแพทย์เจอคนไข้กรณีแบบนั้น แพทย์จะมีวิธีการตรวจต่อในเบื้องต้น โดยไม่ต้องไปเจาะก้อนเนื้อมาตรวจ นั่นคือ ตรวจผลเลือด เพื่อดูว่ามีไวรัสบี, ซีหรือไม่ จากนั้นจะตรวจค่ามะเร็งในเลือด 3-4 อย่าง และเมื่อตรวจเสร็จแล้วมักจะพบว่าก้อนดังกล่าวแปรผลตรงกับมะเร็งได้ 2-3 ชนิด เช่น ในคนที่เป็นโรคตับแข็งมักจะเกิดก้อนขึ้นมา เมื่อมีขนาดเล็ก ๆ คนไข้จะไม่ทราบว่าตนเองมีก้อนในตับ จะทราบเมื่อตนเองมีอาการน้ำหนักลดจึงไปพบแพทย์ ก้อนชนิดนี้เรียกว่า “เฮ็ปปะโตม่า”
การรักษามะเร็งในตับ ปัจจุบันมีหลายวิธีด้วยกัน แต่การจะเลือกใช้การรักษาด้วยวิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนมะเร็งที่พบเป็นหลัก เช่น ก้อนมะเร็งที่มีขนาดเล็กมาก ๆ สามารถรักษาได้โดยการใช้คลื่นความร้อนเข้าไปเผาก้อนเนื้อร้ายนั้น ก้อนเนื้อนั้นก็จะไหม้ไป ซึ่งวิธีนี้เทียบเท่ากับการผ่าตัด สามารถหายขาดได้
วิธีต่อมาคือการรักษาที่เรียกว่าการ “ใส่สายสวนตับ” ซึ่งคล้าย ๆ กับการใส่สายสวนหัวใจ โดยสายที่ใส่เข้าไปจะ ปล่อยยาเคมีเข้าไปที่ก้อนเนื้อร้ายในตับ ยาเคมีก็จะเข้าไปอุดที่ก้อนเนื้อและไปอุดไม่ให้เลือดเข้าไปเลี้ยงก้อนเนื้อนั้น ก้อนเนื้อก็จะฝ่อลงไป บางครั้งเมื่อก้อนเนื้อฝ่อลงไปแล้วเราก็ สามารถเข้าไปตัดทิ้งได้ด้วย ซึ่งวิธีการนี้ก็เหมาะกับก้อนเนื้อที่มีขนาดเล็กเช่นเดียวกัน
และ อีกหนึ่งวิธีก็คือการตัดตับทิ้งเฉพาะส่วนที่เป็นมะเร็ง คือถ้าก้อนมะเร็งนั้นอยู่ในตำแหน่งที่สามารถตัดได้ เช่น อยู่บนกลีบขวาหรือกลีบซ้ายของตับ ซึ่งเมื่อเราตัดทิ้งไปแล้วตับก็สามารถงอกกลับมาใหม่ได้ครับ แต่ถ้าถามว่างอกได้เร็วแค่ไหนอย่างไร อันนี้ก็ต้องดูว่าถ้าเราไม่มีโรคที่ตับเลยจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนเนื้อตับก็จะงอกมาแทน อาจจะไม่ถึง 100% แต่ก็เรียกว่า 80%…แต่ท้ายที่สุด โรคมะเร็งตับนี้มักจะไปเกิดกับคนที่เป็นโรคตับแข็ง แม้จะรักษาด้วยวิธีการที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้ แต่เราก็ยังสามารถผ่าตัดเปลี่ยนตับได้ คือยกตับทิ้งทั้งตับแล้วใส่ตับใหม่เข้าไปแทน นอกจากนี้ปัจจุบันยังมียาชนิดรับประทาน ที่เข้าไปช่วยยับยั้งไม่ให้ก้อนมะเร็งนั้นแบ่งตัวและยุบตัวลงได้ด้วย
ที่กล่าวไปข้างต้นจะเป็นเรื่องของมะเร็งในเนื้อตับ แต่ยังมีมะเร็งที่ยังไม่ได้กล่าวถึงคือ “มะเร็งท่อน้ำดี” ซึ่ง มักพบในคนที่ชอบรับประทานปลาดิบหรือปลาร้า แล้วเกิดพยาธิใบไม้ในตับ ในที่สุดก็มีเนื้องอกเกิดขึ้นมาในท่อน้ำดี วิธีการรักษามะเร็งท่อน้ำดีก็คือ ถ้ามาในระยะต้นเราสามารถตัดทิ้งได้ หรือถ้ามีการอุดตันในท่อน้ำดีมาก ๆ เราสามารถใส่ท่อช่วยระบายได้ ซึ่งช่วยยืดอายุได้แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
มะเร็งตับอีกชนิดหนึ่งคือ เป็นมะเร็งที่กระจายมาจากอวัยวะอื่น เช่น เป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ ในที่สุดกระจายมาที่ตับ วิธีการรักษาขึ้นกับว่ากระจายมาจากอวัยวะไหนรักษาได้หรือไม่ อาจจะต้องไปรักษาที่ต้นตอเสียก่อน
อย่างที่ผมย้ำอยู่เสมอว่า ไม่ว่าจะโรคอะไรก็ตาม ถ้าเราตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ย่อมส่งผลให้การรักษามีประสิทธิผลดี ซึ่งการรักษาก้อนเนื้อนี้ก็เช่นเดียวกัน คือถ้าตรวจพบในระยะเริ่มแรกตั้งแต่ก้อนเนื้อมีขนาดไม่เกิน 5 ซม. ย่อมจะง่ายต่อการเยียวยารักษา และบางครั้งสามารถหายขาดได้ด้วยครับ…ดังนั้นอย่าลืมนะครับ ทุกครั้งที่ท่านไปตรวจสุขภาพประจำปี เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มสักเล็กน้อยให้กับการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง ผมว่ามันคุ้มค่าหากตรวจเจอมะเร็งเร็ว ก็ย่อมจะได้รับการรักษาที่ทันท่วงที โอกาสที่จะหายขาดก็มีครับ…อย่ารอให้โรคตับมาถามหาเรา แต่เราควรจะไปตรวจหามันให้พบเสียก่อนครับ
ข้อมูลจาก รายการ “สุขภาพดี 4 วัย” ออกอากาศวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 เรื่อง “เมื่อตับมีก้อน” เวลา 15.00-16.00 น. ทางเดลินิวส์ทีวี.
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ที่มา : เดลินิวส์ 6 มกราคม 2556