‘เมือกหอยทาก’ บำรุงผิวดีจริงหรือ

dailynews141220_01เทรนด์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของเมือกจากหอยทากกำลังมาแรง เพราะมีการโหมกระแสว่าช่วยเรื่องการบำรุง คืนความอ่อนวัยให้กับผิวพรรณ จนล่าสุดเกิดเป็นธุรกิจ “สปาหอยทาก” ขึ้นกลางเมืองเชียงใหม่ ที่จัดบริการหอยทากตัวเป็น ๆ ซึ่งอ้างว่านำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส มาไต่ไปตามผิวหน้าให้ปล่อยน้ำเมือกออกมาบำรุงผิว กระทั่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องรุดเข้าไปตรวจสอบถึงความเป็นคุณ เป็นโทษ นั้น

ต่อเรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลผิวพรรณ อย่าง นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รองผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง อธิบายให้ได้เข้าใจว่าการเอาเมือกหอยทากมาบำรุงผิวพรรณนั้น มาจากการสังเกตธรรมชาติของตัวหอยทากเองที่สามารถปล่อยเยื่อเมือกออกมาเพื่อสร้างเซลล์ผิวหนังให้งอกขึ้นใหม่เมื่อได้รับการบาดเจ็บ คนเราจึงพยายามศึกษาหาสารที่มีอยู่ในเมือกหอยทากว่าตัวใดที่ช่วยเรื่องการฟื้นฟูสภาพผิว และนำมาผสมเป็นเครื่องสำอางในที่สุด จากนั้นก็ทำการโฆษณาว่าสารสกัดจากตัวหอยทากสามารถช่วยฟื้นฟูผิวได้

ส่วนกรณีที่นำเอาหอยทากสด ๆ มาไต่บนผิวหน้าโดยยึดหลักคุณประโยชน์เดียวกันนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างพูดยาก เพราะเมือกที่หอยทากปล่อยออกมาเพื่อช่วยซ่อมแซมตัวเองนั้นเราไม่สามารถรู้ได้ว่ามีความเข้มข้นมากน้อยเพียงใด เรื่องความสมดุลของภาวะเป็นกรด เป็นด่าง เหมาะกับผิวของคนเราหรือไม่ อย่าลืมว่าผิวหนังของคนแตกต่างจากผิวหนังของหอยทากอย่างสิ้นเชิง การตอบสนองย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นตรงนี้ต้องระมัดระวังโดยเฉพาะเรื่องความสะอาดที่แม้แต่การเลี้ยงแบบพิเศษเราก็ไม่สามารถวางใจได้ เพราะที่สกัดมาทำเครื่องสำอางยังต้องผ่านการตรวจสอบตั้งหลายกระบวนการ

สิ่งสำคัญเลยคือเรื่องความสะอาด เมือกสด ๆ แบบนี้อาจจะไม่ได้เหมาะกับผิวหน้าคนเรา จนก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองในทางลบ เช่น การระคายเคือง ผื่นแดงคัน สิวเห่อ ถ้าเป็นมาก ๆ อาจจะแสบ ลอกเป็นขุย ๆ ได้ ยิ่งพอเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้าไปตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าในเมือกหอยทากมีเชื้อโคลิฟอร์ม หรือเชื้ออีโคไล ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วงแล้วยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะถ้าผิวหนังบริเวณนั้นมีแผลแม้เพียงเล็กน้อยเชื้อโรคเหล่านี้ก็จะสามารถเข้าสู่ร่างกายได้จนทำให้เกิดการติดเชื้อ เป็นหนอง เป็นฝีตามมาได้ ในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดได้ แต่ปัญหาหลักคือการติดเชื้อที่ผิวมากกว่า

มาถึงตรงนี้ นพ.จินดา ได้ให้คำแนะนำเคล็ดลับในการดูแลผิวหน้าให้ดูสุขภาพดี เริ่มต้นที่การพักผ่อนให้เต็มที่ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ตามมาด้วยการทำความสะอาดที่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น ถ้าเป็นคนผิวมันสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฟองนิดหน่อยได้ แต่ถ้าเป็นคนผิวแห้งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีฟอง และควรใช้เพียงน้ำเย็นธรรมดาเท่านั้น อย่าใช้น้ำอุ่นล้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว เพราะน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้ง เกิดการระคายเคืองได้ง่าย

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังยังย้ำว่า หลังล้างหน้าต้องทาครีมบำรุงสม่ำเสมอเพื่อให้คงความชุ่มชื้นและผิวหนังไม่เหี่ยวย่น แต่ก็ต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว คนผิวแห้งก็ควรใช้ครีมบำรุงผิวที่มีความเข้มข้น แต่ถ้าคนผิวมันก็ต้องใช้แบบที่เข้มข้นไม่มาก เช่น เป็นเจล เป็นโลชั่น เพื่อไม่ให้เกิดไขมันอุดตัน ที่สำคัญควรทาครีมกันแดดด้วยเสมอ เพราะแสงแดดเป็นตัวการจะทำให้ผิวเปลี่ยนแปลงไป

สำหรับคนที่รักและใส่ใจในสุขภาพผิวของตัวเองจริง ๆ ควรเลือกผลิตภัณฑ์หรือวิธีการดูแลที่ได้มาตรฐาน พิสูจน์ได้จริง ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ เพราะผลลัพธ์อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย.

อภิวรรณ เสาเวียง : รายงาน

ที่มา: เดลินิวส์ 20 ธันวาคม 2557

สาวผิวคล้ำ

thairath140919_01สาวๆ หลายคนอาจมีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวมัน ผิวไม่เนียนเรียบ หรือผิวแพ้ง่าย แต่ปัญหาเรื่องผิวติดอันดับสำหรับสาวไทย คือ การมีผิวคล้ำ เหตุเพราะค่านิยมในปัจจุบันที่ว่าสาวๆ อยากมีผิวขาว ปัจจุบันมีวิทยาการการรักษาผิวพรรณมากมาย วันนี้ศุกร์สุขภาพจะมาเจาะลึกว่าจะมีวิธีใดทำให้สาวๆ เป็นสาวผิวสวยและสุขภาพดี

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แต่ละคนมีสีผิวแตกต่างกัน คนไทยมีผิวขาวเหลืองแบบคนเอเชีย แต่บางคนก็มีผิวสีเข้ม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุ 2 ประการ คือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายใน ได้แก่ กรรมพันธุ์ เชื้อชาติ กระบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย ส่วนปัจจัยภายนอกขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการโดนแดด หรือรังสียูวี การออกไปเจอมลภาวะต่างๆ การรับประทานอาหาร การดูแลสุขภาพผิว รวมไปถึงการเลือกใช้เครื่องสำอางก็มีส่วนด้วย

สำหรับสาวๆ ที่อยากมี ผิวขาวกระจ่างใสผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ได้รับความนิยมก็คือ ผลิตภัณฑ์ช่วยป้องกันแสงแดด เป็นที่รู้กันว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน เปิดโอกาสให้แสงแดดก็ทำร้ายผิว ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จึงจำเป็นมากสำหรับสาวไทย แต่ถ้าเป็นสาวรุ่นใหญ่ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อย สร้างความอ่อนเยาว์แล้วล่ะก็ การดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ วิตามินเอ วิตามินซี โปรตีนเปปไทด์ AHA BHA  ก็จะช่วยเสริมคอลลาเจนและผลัดเซลล์ผิวหนังให้แลดูกระจ่างใส ดูอ่อนกว่าวัยลงได้ หรือในบางรายอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากใบบัวบก หรือว่านหางจระเข้ เพราะนอกจากจะช่วยลดการระคายเคืองผิวแล้ว สมุนไพรเหล่านี้ยังปลอดภัยภัยต่อร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้ บางคนอาจเคยได้ยินคำว่า โครเอ็นไซม์ คิวเท็น (Q 10) ซึ่งเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือคำว่า กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการความชุ่มชื้นแก่ผิว

นอกจากสารช่วยผลัดเซลล์ผิวลดอายุแล้ว ยังมีสารประเภททำให้ขาวที่ได้รับความนิยมและสนใจจากสาวๆ สมัยนี้ ซึ่งสารทำให้ขาวนั้นมีหลายประเภท ได้แก่ ประเภทแรกคือ สารฟอกสี (Bleaching Agents) ซึ่งเป็นอันตรายและห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ตัวอย่างเช่น ไฮโดรควิโนน ซึ่งก่อให้เกิดฝ้า จุดด่างขาวและตุ่มนูนสีดำ ปรอทแอมโมเนีย ซึ่งหากเกิดพิษสะสม จะทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ

สารทำให้ผิวขาว (Whitening Agents) นิยมใช้ในเครื่องสำอาง เช่น อาร์บิวติน กรดโคจิดและวิตามินซีแอนคอร์บิกแมกนีเซียมฟอสเฟต ซึ่งเป็นสารก่อให้เกิดการระคายเคือง แต่มีผลข้างเคียงน้อย

สารปกคลุมผิว (Covering Agents) เป็นสารทึบแสงและช่วยให้ผิวขาวทันที ซึ่งสารทิตาเนียมไดออกไซด์เป็นสารมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่เมื่อล้างออกก็ยังมีสีผิวเดิม ไม่ได้ให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีขาวถาวร

สารช่วยผลัดเซลล์ผิว (Alpha Hydroxy Acids หรือ AHSs) สารกลุ่มนี้ไม่ได้ช่วยลดการสร้างเม็ดสีโดยตรง แต่ช่วยเร่งการหลุดลอกของผิวชั้นนอก ทำให้ดูขาวขึ้น โดยสารชนิดนี้มักเป็นกรดผลไม้ หรือเป็นสารที่มีตามธรรมชาติ ซึ่งที่เคยได้ยินบ่อยๆ คือ Latic Acid ได้จากนมเปรี้ยวและมะเขือเทศ Citric Acid สกัดได้จากส้มและมะนาว นอกจากนี้ ยังมี Gylcolic Acid สกัดจากอ้อย หรือ Malic Acid สกัดได้จากแอปเปิล

อันที่จริง สารช่วยผลัดเซลล์ผิว เป็นสารที่แพทย์ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังมานานแล้ว เพราะมีสมบัติช่วยให้ผิวดูขาว เนียนเรียบและลดรอยเหี่ยวย่น ปัจจุบันนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางหลายประเภท ซึ่งปริมาณจะต้องมีความเข้มข้นไม่เกิน 15% หากมากกว่านี้จะทำให้ระคายเคืองและผิวลอกได้ ส่วนปริมาณที่มีความเข้มข้นสูงตั้งแต่ 20–70% จะนำไปใช้กับวิธีลอกผิว และต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้สารช่วยผลัดเซลล์ผิว คือ ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะผลัดเซลล์ผิวด้านนอก ให้ผิวหนังชั้นในขึ้นมาแทน ซึ่งเป็นผิวที่บอบบางกว่า จึงมีโอกาสเสี่ยงจะเกิดอันตรายจากการถูกแสงแดดมากขึ้น ผิวคล้ำง่ายกว่าปกติและต้องระวังไม่ให้เกิดอาการแพ้ สำหรับการทดสอบว่าผู้ใช้จะมีอาการแพ้หรือไม่ ให้ทาผลิตภัณฑ์บริเวณใต้ท้องแขน เช้า-เย็น เป็นเวลา 7 วัน หากไม่มีความผิดปกติก็แสดงว่าปลอดภัยใช้ได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ยังมีสารอีกตัว คือ สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen peroxide) หลายคนอาจไม่คุ้นหู แต่สารตัวนี้จัดเป็นเครื่องสำอางควบคุม มีส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันบางชนิด เช่น ยาสีฟัน ยาย้อมผม หรือกัดสีผม สารฟอกหนัง สำหรับทางการแพทย์ จะนำมาใช้ในการทำความสะอาดแผลลึก ปากแผลแคบ แต่สาวๆ ที่ใจร้อนอยากมีผิวขาวเร็ว ก็จะใช้สารตัวนี้ ซึ่งอยู่ในรูปแบบของครีมเปลี่ยนสีผิว ครีมฟอกสีผิว หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยาส่งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม บางยี่ห้อสามารถเปลี่ยนได้ทั้งสีผิวและสีขนอีกด้วย หลายคนอาจดีใจที่ผิวเปลี่ยนมาขาวกระจ่างใสในระยะเวลาไม่นาน แต่หากใช้บ่อยๆ อาจทำให้ร่างกายไม่ผลิตสารเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ให้แก่ผิวหนัง ทำให้เมื่อโดนแดดอาจมีอาการแสบ หรือระคายเคือง ที่สำคัญสุดคือ มีโอกาสเสี่ยงเป็นเนื้องอกและมะเร็งผิวหนังได้มากกว่าผิวธรรมดา

thairath140919_02

ปัจจุบันวิวัฒนาการและความเจริญทางด้านเทคโนโลยีทุกด้านเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันในสังคมเมืองค่อนข้างมาก การเสริมเติมแต่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิว ใบหน้าหรือแม้แต่อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายให้ผิดแผกแตกต่างจากความเป็นธรรมชาติ หรือสนองความต้องการของมนุษย์ จึงเป็นเรื่องเหนือสิ่งอื่นใด ควรศึกษาเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจทำสิ่งใด ควรหาความรู้ หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้เกิดความมั่นใจก่อนตัดสินใจเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดอันตรายกับเราน้อยที่สุด.

รศ.พญ.เพ็ญพรรณ วัฒนไกร
หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี

ที่มา : ไทยรัฐ 19 กันยายน 2557

ดูแลผิวอย่างถูกวิธี หมดปัญหาผิวแห้งเสียมากวนใจ – เคล็ดลับ สุขภาพดี

dailynews140824_02หลายคนอาจสงสัยว่าทำอย่างไรถึงจะหมดปัญหาผิวแห้ง ซึ่งต้องมองว่าในแต่ละคนนั้นบำรุงผิวพรรณที่แตกต่างกันออกไป สิ่งที่เราจะต้องทำทุกวันคือ ทาครีมบำรุงเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น บำรุงผิวแห้งกร้าน สิ่งที่ต้องเผชิญมากที่สุดคือ แสงแดดร้อนจัด ควรเลือกที่จะหลีกเลี่ยงจึงจะช่วยลดต้นเหตุจากสีผิวที่อาจก่อให้เกิดปัญหาผิวเสีย

นพ.เจริญลักษณ์ คงดำเนิน (หมอโจ) ให้คำแนะนำว่า สำหรับสาวที่มีปัญหาเรื่องผิวแห้ง โดยเฉพาะบริเวณข้อศอก หัวเข่า และเท้า ลองเปลี่ยนจากครีมบำรุงผิวมาใช้ครีมทาสำหรับรักษาผื่นผ้าอ้อม เพราะในครีมชนิดนี้มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น และช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ทำให้ผิวที่เคยแตกแห้งกร้านกลับมาชุ่มชื้นเปล่งปลั่งอีกครั้ง ที่สำคัญยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ดังนั้น ควรดูแลผิวพรรณให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอโดยมีขั้นตอนดังนี้

1. ทามอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอหลังล้างหน้า และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกักเก็บน้ำ และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นสูงให้แก่ผิว และช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้นได้โดยเฉพาะหลังการล้างหน้า

2. ผู้ที่มีผิวแห้ง ควรล้างหน้าเพียงวันละ 1-2 ครั้ง หรือล้างวันละครั้งในตอนเย็น (ก่อนนอน) ส่วนตอนเช้าแค่น้ำเปล่าสะอาด ๆ ก็เพียงพอแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นค่อนข้างร้อน และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นหรือมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง และช่วยเสริมการต้านอนุมูลอิสระ

3. ไม่ควรถูหรือเช็ดรุนแรงกับผิว หลังล้างหน้าใช้ผ้าขนหนูซับเพียงเบา ๆ หลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์หรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เช็ดผิว ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งมากขึ้น และเกิดการแพ้ได้ ควรใช้โลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์และน้ำหอม

4. ทาครีมบำรุงหรือมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าทุกครั้ง เป็นประจำ

5. ครีมกันแดดควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอโรเวล่า มอยส์เจอไรเซอร์ ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวหนัง และมีสารกันแดด Zine Oxide (ZnO), Titanium dioxide (TiO2) ซึ่งเป็นสารกันแดดที่ไม่ทำอันตรายผิว และสามารถทำหน้าที่สะท้อนหรือหักเหรังสียูวีออกไปจากผิวได้ดีกว่าชนิดอื่นๆ ทำให้ผิวลื่น และเกลี่ยได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องสัมผัสผิวอย่างรุนแรง และ 6. การดื่มน้ำเปล่าสะอาด ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีมาก เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำนั้น หมายถึง ผิวที่สวยก็จะขาดความชุ่มชื้นไปด้วย

ดังนั้นคนที่มีผิวแห้งกร้าน ถ้ารู้จักวิธีดูแลอย่างถูกต้องและป้องกันก็จะช่วยให้ผิวสวย เปล่งปลั่ง สดใสดูดีได้ เพราะข้อได้เปรียบของคนผิวแห้งก็คือ มีรูขุมขนที่เล็กถึงเล็กมาก ผิวดูละเอียด เรียบเนียน และไม่ต้องกังวลกับปัญหา เรื่องสิวให้หนักใจ.

ที่มา : เดลินิวส์ 24 สิงหาคม 2557

ดูแลผิวพรรณในหน้าฝน

dailynews140712_02ปัญหาด้านผิวหนังและผิวพรรณ เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยในฤดูฝน สำหรับคุณผู้หญิง ปัญหาสุขภาพผิวถือเป็นปัญหาใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ หลายท่านอาจรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องดูแลผิวพรรณเป็นพิเศษในฤดูฝน แต่ จริง ๆ แล้วฤดูนี้มีหลายสิ่งที่ทำร้ายผิวสวย เช่น นํ้าฝน ซึ่งมีฝุ่นละออง สารเคมี รวมถึงเชื้อโรคและสิ่งสกปรกมากมาย หากเราสัมผัสนํ้าฝนสิ่งที่ปนเปื้อนย่อมเป็นอันตรายต่อผิวเราได้

นอกจากนี้ เมื่อผิวหนังเปียกชื้นจะทำให้ความสามารถในการป้องกันเชื้อโรคและการปรับตัวต่อปัจจัยกระทบภายนอกต่าง ๆ น้อยลง ทำให้ง่ายต่อการเกิดปัญหาทางด้านผิวหนัง เช่น สิว โรคเชื้อรา โรคนํ้ากัดเท้า ผื่นผิวหนังอักเสบ จึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดกับเราอยู่เสมอ

เริ่มจากการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ หากผมเปียกจากการตากฝน การเช็ดผม หรือปล่อยให้แห้งเองนั้นยังไม่เพียงพอ แนะนำให้สระผมเลยจะดีกว่า เนื่องจากในนํ้าฝนอาจมีสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคปนเปื้อนมาด้วย การสระผมจะช่วยล้างสิ่งสกปรกและเชื้อโรคออกจากเส้นผม หลังจากนั้นควรเช็ดผมหรือไดร์ให้แห้งทุกครั้ง ไม่ควรนอนขณะที่ผมยังเปียก เพราะอาจทำให้หนังศีรษะมีความชื้นและก่อให้เกิดเชื้อราได้ ในบางรายอาจมีเชื้อราบนศีรษะ คือมีสะเก็ดแห้งบนหนังศีรษะและมีอาการคันศีรษะ เส้นผมบริเวณนั้นหักออกเหลือเป็นตอสั้น ๆ ติดหนังศีรษะ บางคนอาจมีอาการอักเสบรุนแรงจนถึงเป็นก้อนคล้ายฝี ถ้านำผมบริเวณนั้นไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบว่ามีเชื้อรา ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวก็ควรไปพบแพทย์ทันที

ผิวพรรณ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณผู้หญิงต้องสนใจ ถึงแม้ว่าในฤดูฝนการดูแลรักษาผิวจะง่ายกว่าในฤดู   อื่น ๆ แต่ปัญหาที่พบบ่อยคือ การเป็นสิวเพิ่มขึ้น เพราะความชื้นสูงในอากาศจะทำให้เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวเจริญเติบโตได้ดี ประกอบกับเมื่อผิวหน้าสัมผัสนํ้าฝนที่มีเชื้อโรค ฝุ่นละออง หรือสารเคมี ก็ยิ่งทำให้เกิดสิวได้ง่าย การดูแลผิวหน้าจึงควรเริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้า โดยทำเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกและนํ้ามันส่วนเกิน หลีกเลี่ยงการขัด หรือถูหน้าอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์อย่างสมํ่าเสมอ เพื่อคืนความชุ่มชื่นให้แก่ผิว นอกจากนี้ หากมีสิว ไม่ควรกดหรือแกะโดยเด็ดขาด เพราะทำให้เกิดรอยแดง หรือดำ รวมถึงแผลเป็นจากสิวได้

หากผิวหน้าเปียกนํ้าฝนก็ควรล้างออกด้วยนํ้าสะอาดโดยเร็ว ไม่ควรขยี้ตาในขณะที่ใบหน้าหรือมือเปียกฝน เพราะนํ้าฝนมีสิ่งปนเปื้อนมากมาย ที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ดวงตาได้ เมื่อเสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกฝนก็ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เพราะเสื้อผ้าที่เปียกฝนอาจก่อให้เกิดเชื้อราที่ผิวหนังได้ สำหรับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นนาน ๆ ควรนำไปผึ่งแดดร้อนจัด ๆ หรือรีดด้วยเตารีด จะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าได้ และควรอาบนํ้าเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกหลังจากที่เปียกฝน

ลักษณะผื่นที่ควรสังเกต ได้แก่ วงด่างสีขาว หรือสีเนื้อ ในบางรายอาจขึ้นเป็นวงสีนํ้าตาลร่วมกับมีขุยสีขาวเล็ก ๆ ซึ่งมักเกิดบนผิวหนังหน้าอกและลำตัว อาจมีอาการคันร่วมด้วยได้ ซึ่งนอกจากดูไม่สวยงามแล้ว ยังทำให้เสียบุคลิกภาพ ผื่นชนิดนี้เป็นลักษณะของโรคเกลื้อน แม้ในยามปกติจะไม่ก่อโรคร้ายแรง แต่หากอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมก็อาจมีปริมาณมากและเรื้อรังกว่าที่คิด สำหรับคนที่มีนํ้าหนักมาก หรือภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน อาจเกิดผื่นสีแดงขึ้นตามบริเวณข้อพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือใต้ราวนม และอาจมีอาการคันมาก ซึ่งสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อยีสต์ในกลุ่มแคนดิดา หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาต่อไป

อีกสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงฤดูฝน คือ การมีนํ้าท่วมขัง ทำให้ต้องเดินยํ่านํ้าชื้นแฉะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากปล่อยให้เท้าเปียกนาน ๆ อาจจะพบว่าผิวตามซอกนิ้วเท้าลอกเป็นขุยขาว ๆ เปื่อยยุ่ย หรืออาจถึงขั้นเป็นแผล มีนํ้าเหลืองแฉะ ซึ่งเรียกว่าโรคนํ้ากัดเท้า บางครั้งอาจมีการติดเชื้อราที่เท้า โดยมีแหล่งเชื้อรามาจากสิ่งแวดล้อม เช่น หิน ดิน ทราย รวมทั้งในสัตว์เลี้ยงจำพวกสุนัขและแมว หากไม่รักษาผื่นที่เท้า อาจลามไปที่ลำตัวส่วนอื่นได้ สิ่งที่ต้องสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ กลิ่นเท้า เวลาถอดรองเท้า หากมีกลิ่นเหม็นโชย และเมื่อก้มดูฝ่าเท้าจะเห็นเป็นรูพรุนเล็ก ๆ นั่นคือ อาการของโรคเท้าเหม็น ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มักพบในคุณผู้หญิงที่ใส่ถุงเท้าที่ทำจากใยสังเคราะห์หนา ๆ ซึ่งมักจะแห้งยากในหน้าฝน

ในนํ้าที่ขังตามพื้นถนนอาจมีพยาธิบางชนิด ซึ่งสามารถชอนไชสู่ผิวหนังได้โดยตรง หรืออาจได้รับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคฉี่หนูเข้าไปตามรอยแผลเล็ก ๆ ที่เท้า ซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรง ข้อแนะนำเบื้องต้น คือ หากหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ควรยํ่านํ้าที่ท่วมขัง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทำความสะอาดเท้าด้วยการฟอกสบู่ ล้างออกด้วยนํ้าสะอาด และเช็ดให้แห้ง อย่าปล่อยให้เท้าเปียกชื้นเป็นเวลานาน หากมีแป้งฝุ่นให้ทาบาง ๆ ตามซอกเท้าและฝ่าเท้า เมื่อถุงเท้าและรองเท้าเปียกฝน ควรถอดออกทันทีและทำให้แห้งโดยเร็วที่สุด สำหรับรองเท้าที่เปียกนํ้านั้นแนะนำให้ไปตากแดดให้แห้ง หากคุณผู้หญิงสงสัยว่าจะเป็นโรคที่เท้าดังกล่าวก็ควรไปปรึกษาแพทย์ทันที

จะเห็นได้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาผิวพรรณในฤดูฝนมาจากนํ้าฝนที่มีการปนเปื้อน หรือการปล่อยให้ผิวหนังอับชื้นเป็นเวลานาน จึงควรหลีกเลี่ยงการตากฝน รีบถอดเสื้อผ้าที่เปียกออก แล้วอาบนํ้าทำความสะอาดร่างกาย หลังจากนั้นจึงเช็ดตัวให้แห้ง การโรยแป้งฝุ่นสามารถช่วยลดความชื้นและการเสียดสีได้ นอกจากนี้ การเลือกเสื้อผ้าและถุงเท้าควรเลือกที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ก็หวังว่า ข้อมูลเหล่านี้คงเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้อ่าน และสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเตรียมรับมือกับทุกฤดูฝน ไม่ว่าจะเป็นฤดูฝนนี้หรือฤดูฝนไหน.

นพ.พูลเกียรติ สุชนวณิช

หน่วยโรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ที่มา : เดลินิวส์  12 กรกฎาคม 2557

7 พฤติกรรมแย่ๆ ทำผิวแก่ก่อนวัย

dailynews140709_01พูดถึงคำว่า “แก่” หลายคนมักจะไม่ชอบคำนี้กันนัก ลองทักทายกันว่า แก่ เพียงคำเดียว เป็นต้องเสียความมั่นใจกันเลยทีเดียว บางคนแก่ตามวัยยังพอว่า แต่บางคนยิ่งกว่า เจอครหาว่าแก่ก่อนวัย กลายเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจไม่น้อย ในทางกลับกัน บางคนอายุมาก แต่ไม่ปล่อยตัวให้แก่ตามวัยเลย นับวันยิ่งดูดี ทั้งสุขภาพกายและใจ ส่งผลให้ผิวดูสดใส และเด็กกว่าอายุจริง

7 พฤติกรรมที่ทำให้แก่ก่อนวัย คนที่ชะล่าใจ เพราะคิดว่าอายุยังไม่ถึงยังไงก็คงไม่แก่ มาดูกันว่าคุณมีพฤติกรรมเข้าข่ายทำให้แก่ก่อนวัยหรือไม่ จะได้หยุดพฤติกรรมเหล่านี้หรือหลีกเลี่ยงได้ทัน

1. นอนดึก เพราะปาร์ตี้ :การนอนดึกทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ไม่เว้นกระทั่งเซลล์ผิว อ่อนแอ และแห้งกร้านดังนั้น เราควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง

2. ชอบสังสรรค์เพื่อสังคม :บุหรี่และเครื่องดื่มจำพวกแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ล้วนเป็นตัวการสำคัญทำร้ายผิว เพราะสิ่งเหล่านี้ไปลดการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ ๆ ผิวจึงไม่ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ เป็นที่มาของแก่ก่อนวัย และเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ง่าย

3. ดื่มน้ำน้อยเพราะขี้เกียจ :น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกายมากถึงร้อยละ 70 มีส่วนช่วยให้ผิวชุ่มชื้นเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยให้ได้ประมาณ 8 แก้วต่อวัน เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปกับเหงื่อ และการขับถ่ายในแต่ละวัน

4. ทำงานยุ่งวุ่นทั้งวัน เครียดไม่รู้ตัว :หลายคนงานเยอะ จนลืมดูแลตัวเอง บ้างก็เครียดจากงานจนขาดการพักผ่อน ส่งผลเสียให้แก่ก่อนวัยทุกครั้งที่เครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนไปกระตุ้นหัวใจ ทำให้เลือดไปเลี้ยงผิวหนังน้อยลง เราจึงควรหันมาดูแลตัวเอง ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ หากิจกรรมที่ชอบทำ เพื่อให้สมองและจิตใจผ่อนคลายบ้าง

5. ออกแรงผิดวิธี :อย่าหักโหมใช้แรงมากเกินไป ร่างกายจะอ่อนเพลีย จนทำให้ผิวทรุดโทรมไปด้วยการออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ เช่น การเดินเร็ว หรือวิ่งเหยาะๆ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้เซลล์ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้นควรออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 30 นาที

6. สวยทดได้ :บางคนชอบอาบแดด ท้าแสง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำลายเซลล์ผิวในทันที เพราะทำให้เซลล์ผิวและชั้นคอลลาเจนถูกทำลายโดยรังสียูวีจากแสงแดด สร้างปัญหาริ้วรอยแก่ก่อนวัยและฝ้าตามมา ยิ่งกว่านั้น ยังเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วยควรปกป้องผิวจากแสงแดดโดยการหลีกเลี่ยงแดดในช่วงเวลา 10.00-16.00น.ปกป้องผิวด้วยการสวมหมวก กางร่ม และทาครีมกันแดดเลือกรับประทานสารอาหารที่อุดมไปด้วยคาร์โรทีนอยด์ เช่น เบต้าคาร์โรทีน ในแครอท มะเขือเทศ ฟักทอง และมะละกอ เป็นต้น

7. เลือกอาหารอร่อยตามปาก :การรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา เอาความสะดวกเข้าว่า ทำให้พฤติกรรมการรับประทานอาหารเปลี่ยนไป ส่งผลให้เซลล์ผิวขาดสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟู การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ ที่หลากหลาย จะช่วยให้ร่างกายได้วิตามินอย่างครบถ้วนยิ่งขึ้น รวมทั้งได้สารต้านอนุมูลอิสระเพื่อมาปกป้องความเสื่อมของเซลล์ผิวได้การเลือกรับประทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อปลา นม ไข่ ถั่ว และเต้าหู้ กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวและช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังได้

เริ่มต้นดูแลสุขภาพผิวจากภายใน ด้วยการเลือกรับประทานสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น กลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ วิตามินซี อี สารสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากเปลือกสน โคเอ็นไซม์คิวเทนจากธรรมชาติ เป็นต้น ย่อมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ง่ายและสะดวกกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา แต่ที่สำคัญ ควรเลือกพิจารณาที่มีความน่าเชื่อถือทั้งส่วนประกอบ และมาตรฐานการผลิตภายใต้บริษัทที่น่าเชื่อถือด้วย

การดูแลสุขภาพผิวจากภายในสู่ภายนอกไปพร้อม ๆ กับลดละเลิกพฤติกรรมที่กล่าวมาข้างต้น เพียงเท่านี้ ก็ไม่ต้องกลัวใครมาทักว่าแก่อีกต่อไป

ข้อมูลโดย เมก้า วีแคร์

 

ที่มา : เดลินิวส์  9 กรกฎาคม 2557

เคล็ดลับสุขภาพดี – วิธีดูแลผิวและสุขภาพให้สดชื่นพร้อมรับมือหน้าฝน

dailynews130707_003เข้าหน้าฝนทีไร สาวๆ มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดูแลผิวตัวเอง เพราะคิดว่าอากาศในวันฟ้าครึ้มฝนตกไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพผิวและร่างกาย แต่ความจริงแล้วฤดูฝนเป็นฤดูที่สะสมความร่วงโรยของผิวและสุขภาพของเราโดยไม่รู้ตัว  วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีมีวิธีดูแลผิวให้พร้อมรับมือกับหน้าฝนนี้มาฝากกันด้วย

เพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก ทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามาก สูญเสียความชุ่มชื้น เกิดปัญหาผิวแห้ง หากเหงื่อออกให้ใช้กระดาษทิชชูซับเหงื่ออย่าปล่อยให้แห้งเอง เพราะจะยิ่งทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น จากนั้นทามอยเจอร์ไรเซอร์ทุกครั้งที่รู้สึกว่าผิวแห้งตึง นอกจากนี้จากสภาพอากาศที่ขมุกขมัว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้หลายคนเข้าใจผิดว่าไม่ต้องทาครีมกันแดดเพราะไม่มีแสงแดด แต่ความจริงแล้วในช่วงเวลากลางวันยังคงมีรังสียูวีเอที่เรามองไม่เห็น ซึ่งจะเข้าทำร้ายผิวชั้นลึกทำให้มีปัญหาริ้วรอยแก่ก่อนวัย

การดูแลผิวจึงต้องทาโลชั่นกันแดดที่ปกป้องครอบคลุมทั้งรังสียูวีเอ ยูวีบี และอนุมูลอิสระทุกเช้าก่อนการแต่งหน้า ควรเลือกสูตรกันน้ำที่ไม่เหนอะหนะ เผื่อต้องลุยกับฝนก็ยังมั่นใจว่าผิวได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง และยิ่งสภาพอากาศร้อนชื้นในฤดูฝนนี้ยังทำให้ผิวสะสมความมัน ความสกปรกจากเหงื่อและฝุ่นละออง จึงทำให้คราบเครื่องสำอางอุดตันในรูขุมขนได้ง่ายขึ้น เราควรใส่ใจการทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจดจริงๆ ด้วยการใช้เคล็นมิลค์เช็ดคราบเครื่องสำอางให้หมดก่อนและล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าอีกครั้งอย่างเบามือ บำรุงผิวก่อนนอนด้วยครีมที่เหมาะกับสภาพผิวและขัดสครับผิวเพื่อขจัดสิ่งอุดตัน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตามจากสภาพอากาศที่แปรปรวนยังทำให้เราเจ็บป่วยได้ง่าย ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าการรับประทานวิตามินซีก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงแล้วร่างกายต้องการมากกว่าวิตามินซี ถ้าไม่แน่ใจว่าสามารถรับประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่ได้วิตามินเกลือแร่ครบถ้วนทุกวันหรือไม่  แนะนำว่าควรหาอาหารเสริมที่มีวิตามินและเกลือแร่รวมหลากหลายชนิดในเม็ดเดียวมารับประทานวันละ 1 เม็ดร่วมกับการออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอจะดีกว่า นอกจากนี้ใครที่คิดว่าฝนตกแล้วร่างกายไม่มีเหงื่อออกไม่ต้องดื่มน้ำมากก็ได้ เพราะไม่หิวน้ำบ่อยความจริงแล้วน้ำระเหยออกจากร่างกายตลอดเวลา หากไม่ดื่มบ่อยๆ ก็เสี่ยงที่เซลล์จะขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ร่างกายทำงานแปรปรวนเจ็บป่วยง่าย ผิวแห้งเกิดริ้วรอย จึงต้องดื่มน้ำให้กับร่างกายอย่างเพียงพอ วันละ 8-10 แก้ว โดยจิบสม่ำเสมอทั้งวัน

สุดท้ายมีเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้ผิวพรรณเราดูสดใสและอ่อนกว่าวัย คือการใช้ร่มสีชมพู เนื่องจากแสงจากร่มจะเป็นสีชมพูอ่อนๆ ทำให้ผิวดูสวยและอ่อนหวาน และช่วยพรางริ้วรอยแห่งวัยอีกด้วย ดังนั้นอย่ามองข้ามหน้าฝนว่าไม่ต้องดูแลผิวพรรณและสุขภาพร่างกาย เพราะการดูแลตัวเองต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเพื่อความสวยงามและการมีสุขภาพที่ดี

(ข้อมูลโดย พรรณทิพย์ คลินิก)

.

สรรหามาบอก

-โรงพยาบาลกรุงเทพ ร่วมกับศูนย์เยาวชนลุมพินี สำนักวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร ชวนคนรักสุขภาพทุกเพศทุกวัยร่วมงาน“รวมพลคนกรุงสุขภาพดี” ฟังบรรยายความรู้เรื่อง “ภัยเงียบจากโรคความดันโลหิต” พร้อมบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น อาทิ ตรวจวัดความดันโลหิต, ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (สำหรับ100 ท่านแรกที่ลงทะเบียนหน้างาน) ร่วมเล่นเกม ตอบคำถามพร้อมรับของรางวัลมากมาย ในวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2556 เวลา 06.00-09.00 น. ณ ด้านหน้าอาคารพลเมืองอาวุโส สวนลุมพินี สอบถามรายละเอียด โทร.1719

-ภาควิชาการพยาบาลพื้นฐานและการบริหารการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาล สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนพยาบาลวิชาชีพทั่วประเทศและประชาชนทั่วไปร่วมประชุมวิชาการ เรื่อง “ห่างไกล Top 5 ด้วย Life style ไร้อ้วน” ระหว่างวันที่ 5-6 สิงหาคม 2556 เวลา 08.00-16.00 น. ณ โรงแรมตะวันนา กรุงเทพฯ  เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้อันจะนำไปสู่การพยาบาลที่มีคุณภาพ สนใจลงทะเบียนก่อนวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2256-4092-9 ต่อ 414 หรือ http://www.trcn.ac.th

-กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาระบบการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี ในโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่งทั่วประเทศ สามารถแจ้งผลเลือดได้ภายในวันเดียว โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวรับการตรวจเลือดฟรีทุกสิทธิการรักษา เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาอย่างรวดเร็ว ช่วยลดการถ่ายทอดเชื้อให้แก่คู่นอนได้ถึงร้อยละ 96 ลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ และลดการตายจากเอดส์ให้เป็นศูนย์  ประชาชนทั่วไปเข้ารับบริการตรวจฟรีได้ตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือหากต้องการปรึกษาปัญหาเอดส์ติดต่อได้ที่หมายเลข 1663

ทีมวาไรตี้

ที่มา : เดลินิวส์ 7 กรกฎาคม 2556

ดูแลผิวพรรณให้ห่างไกลผิวเสื่อมผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส

การดูแลผิวพรรณของคนเราในสภาวะแวดล้อมปัจจุบัน อาจจะดูเป็นเรื่องยาก เพราะมลพิษ สิ่งแวดล้อม และปัญหากรรมพันธุ์ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อการเกิดปัญหาต่าง ๆ กับผิวพรรณเป็นอย่างมาก

เช่นเดียวกันกับปัญหาผิวเสื่อม ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส เกิดริ้วรอยแห่งวัยกลายเป็นปัญหาที่สำคัญของหนุ่มสาวในยุคนี้..แล้วจะมีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวนี้กันได้อย่างไร

ลำดับแรกเราต้องทราบก่อนว่าสาเหตุการเกิดปัญหาผิวเสื่อม ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส เกิดริ้วรอยแห่งวัยเกิดจากอะไรบ้าง

1.  สาเหตุเกิดจากภายใน เช่น กรรมพันธุ์ เชื้อชาติ การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ระดับฮอร์โมนในร่างกาย กระบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย เช่น กระบวนการออกซิเดชั่น และการอักเสบภายในเซลล์ผิว

2. สาเหตุเกิดจากภายนอก เช่น แสงแดด รังสียูวี มลพิษ ความเครียด การสูบบุหรี่ อาหารที่รับประทาน การดูแลผิวที่ไม่ดีพอ แพ้เครื่องสำอาง การอักเสบระคายเคืองของผิว เป็นต้น

เหล่านี้จะก่อให้เกิดปัญหาผิวเสื่อม ผิวหมองคล้ำ และริ้วรอย ขึ้นได้ง่าย

ส่วนการแก้ไขปัญหานั้นมีอยู่หลากหลายวิธีทางการแพทย์ เช่น การลอกผิว การฉีดสารเติมเต็ม การฉีดสารที่ลดการทำงานของกล้ามเนื้อโบทูลินั่ม ท็อกซิน ไอพีแอล รวมทั้งเลเซอร์ ซึ่งแม้อาจได้ผล แต่ผลก็ไม่ได้ถาวร มีค่าใช้จ่ายสูง และแม้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง ก็ยังอาจเกิดผลข้างเคียงได้

แต่ปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์ป้องกันริ้วรอยครีมทาผิวขาวออกมามากมายให้เลือกใช้ เพื่อดูแลในทุก ๆ วัน ดังเช่น

  • กลุ่มช่วยปกป้องแสงแดด รังสียูวี ทั้ง ฟิสิคอล ซันสกรีน และ เคมิคอล ซันสกรีน
  • กลุ่มที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เร่งการผลัดเซลล์ผิว เช่น อนุพันธ์วิตามินเอ เรตินอลวิตามิน ซี โปรตีนเปปไทด์ เอเอชเอ และบีเอชเอ
  • กลุ่มต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี โคเอนไซม์ คิวเทน สารสกัดจากต้นสน รวมทั้งสารสกัดจากขมิ้น
  • กลุ่มที่สารทำให้ผิวขาวที่นิยมใช้กันมากในเครื่องสำอางในท้องตลาดเมืองไทย เช่น อาร์บิวติน กรดโคจิด และวิตามินซี วิตามินบี
  • กลุ่มลดการอักเสบระคายเคืองผิวเนื่องจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในร่างกายและอนุมูลอิสระทำให้เกิดการอักเสบขึ้น สารออกฤทธิ์ลดการระคายเคืองจึงมีความสำคัญคู่กันกับสารออกฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ลดการระคายเคือง เช่น สารสกัดจากใบบัวบกและว่านหางจระเข้
  • กลุ่มช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นที่ผิว เช่น กรดไฮยาลูโรนิก

นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำในการดูแลรักษาผิวให้มีความสดใส ไม่หมองคล้ำ ซึ่งสามารถปฏิบัติตามได้ดังนี้ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด รับประทานอาหารให้ครบหมู่ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายเพื่อให้เลือดหมุนเวียน ผิวแลดูสุขภาพแข็งแรง มีเลือดฝาด ไม่ดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มอนุมูลอิสระมาทำลายผิว ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ เกิดหมองคล้ำ และริ้วรอย เน้นความสะอาดผิวหนัง ทาโลชั่นให้ผิวชุ่มชื้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด ทั้งหมดนี้ก็จะช่วยให้มีผิวสวยใสจากภายในได้เป็นอย่างดี.

รศ.พญ.เพ็ญพรรณ วัฒนไกร
หน่วยโรคผิดหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

*ข่าวประชาสัมพันธ์* ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติสู่ภาคประชาชน เรื่อง “วิกฤติโรคถุงลมโป่งพองกับทางเลือกที่ดีกว่า” ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2555 เวลา 07.00-12.00 น. ณ บริเวณโถงเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 1อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ 02-201-1383, 02-354-7267 ด่วน!! รับจำนวนจำกัด

 

ที่มา: เดลินิวส์  27 ตุลาคม 2555

เจาะประเด็น”สาวผิวคล้ำ”

สาว ๆ หลายคนอาจมีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวมัน ผิวไม่เนียนเรียบหรือผิวแพ้ง่าย แต่ปัญหาผิว ติดอันดับสำหรับสาวไทยอีกปัญหาหนึ่ง คือ การมีผิวคล้ำ เพราะค่านิยมในปัจจุบันที่ว่า “สาว ๆ ต้องมีผิวขาว” ปัจจุบันมีวิทยาการการรักษาผิวพรรณมากมาย โดยเฉพาะใครที่มีผิวคล้ำ ไม่สดใส วันนี้เรามาเจาะลึกกันว่า จะมีวิธีใดบ้างที่ทำให้สาว ๆ ขึ้นชื่อได้ว่า เป็นสาวผิวสวย สุขภาพดีกัน

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แต่ละคนมีสีผิวแตกต่างกัน คนไทยมีผิวขาวเหลืองแบบ คนเอเชีย แต่ก็มีบางคนที่มีผิวสีเข้ม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุ 2 ประการ คือ ปัจจัยภายใน ได้แก่ กรรมพันธุ์ เชื้อชาติ พ่อแม่มีผิวสีเข้ม ลูกก็จะผิวสีเข้ม กระบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย และปัจจัยภายนอก ซึ่งขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการโดนแดดหรือรังสียูวี การออกไปเจอมลพิษต่าง ๆ การรับประทานอาหาร รวมไปถึงการดูแลสุขภาพผิว อย่างการใช้เครื่องสำอางก็มีส่วนเช่นกัน

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหล่าบรรดาสาว ๆ นิยมใช้กัน นั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยป้องกันแสงแดด เป็นที่รู้กันว่า เมืองไทยเป็นเมืองร้อน และยิ่งเดี๋ยวนี้ร้อนขึ้นทุกวัน แสงแดดก็ทำร้ายผิวมากขึ้น ดังนั้นผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จำเป็นมากสำหรับสาวไทย แต่ถ้าเป็นสาวรุ่นใหญ่ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อย สร้างความอ่อนเยาว์แล้วล่ะก็ การดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอ วิตามินซี โปรตีนเปปไทด์ เอเอชเอ บีเอชเอ ก็จะช่วยเสริมคอลลาเจนและผลัดเซลล์ผิวให้แลดูกระจ่างใส ดูอ่อนวัยได้ หรือสาว ๆ อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากใบบัวบกหรือว่านหางจระเข้ นอกจากจะช่วยลดการระคายเคืองผิวแล้ว สมุนไพรเหล่านี้ยังปลอดภัยต่อร่างกายอีกด้วยและบางคนอาจเคยได้ยิน คำว่า โครเอนไซม์ คิวเท็น (Q10) ที่เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระหรือ คำว่า กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

แต่ถ้าคนไหนรู้สึกว่า วิธีต่าง ๆ ที่เล่ามา ทำมาทุกอย่างแล้ว ผิวสุขภาพดีจริง แต่ประเด็นสำคัญที่สุดของการดูแลผิวคือ จะทำอย่างไรให้ผิวหมองคล้ำ แลดูกระจ่างใสล่ะ จะทำได้อย่างไร วันนี้เรามีวิธีที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้มาฝากกัน

สารที่ทำให้ผิวขาวได้นั้น มีหลายประเภท ประเภทแรกคือ สารฟอกสี ซึ่งเป็นอันตรายและห้ามใช้ในเครื่องสำอาง เช่น ไฮโดรควิโนน ก่อให้เกิดฝ้า จุดด่างขาวและตุ่มนูนสีดำ และปรอทแอมโมเนีย หากเกิดพิษสะสม จะทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบได้

สารทำให้ผิวขาว นิยมใช้ในเครื่องสำอาง เช่น อาร์บิวติน กรดโคจิดและวิตามินซี แอสคอร์บิกแมกนีเซียมฟอสเฟต ซึ่งเป็นสารที่เกิดระคายเคืองและมีผลข้างเคียงน้อย

สารปกคลุมผิว เป็นสารทึบแสง และช่วยให้ผิวขาวทันที ซึ่งสารทิตาเนียมไดออกไซด์ เป็นสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแต่เมื่อล้างออกก็ยังมีสีผิวเดิม ไม่ได้ให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีขาวถาวร

สารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ได้ช่วยลดการสร้างเม็ดสีโดยตรง แต่ช่วยเร่งการหลุดลอกของผิวชั้นนอกออกไป ทำให้ดูขาวขึ้น เป็นกรดผลไม้ เป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่เคยได้ยินกันบ่อย ๆ คือ กรดแล็กติค ได้จากนมเปรี้ยวและมะเขือเทศ กรดซิตริค สกัดได้จากส้มและมะนาว นอกจากนี้ยังมี กรดไกลโคลิค สกัดจากอ้อยหรือกรดเมลิค สกัดได้จากแอปเปิ้ล

อันที่จริงแล้ว สารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว หรือ เอเอชเอ เป็นสารที่แพทย์ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังมานานแล้ว และด้วยคุณสมบัติที่ช่วยให้ผิวดูขาวขึ้น เนียนเรียบและลดรอยเหี่ยวย่น ปัจจุบันจึงนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางหลายประเภท ปริมาณที่ใช้จะต้องมีความเข้มข้นไม่เกิน 15% เพราะหากมากกว่านี้อาจทำให้ระคายเคืองและผิวลอกได้ ซึ่งปริมาณการใช้ที่มีความเข้มข้นสูงตั้งแต่ 20-70% นั้น จะนำไปใช้กับวิธีการลอกผิว โดยจะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้คือ เราใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ผลัดเซลล์ผิว ผิวด้านนอกถูกลอกออกไป ผิวหนังชั้นในขึ้นมาแทนที่ซึ่งเป็นผิวที่บอบบางกว่า โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากการถูกแสงแดดก็มีมากขึ้น ผิวคล้ำง่ายกว่าปกติ และต้องระวังไม่ให้เกิดอาการแพ้ การทดสอบว่ามีอาการแพ้หรือไม่ ให้ทาบริเวณใต้ท้องแขน เช้า-เย็น เป็นเวลา 7 วัน หากไม่มีความผิดปกติก็แสดงว่า ปลอดภัยใช้ได้แน่นอน

นอกจากนี้ยังมีสารอีกหนึ่งตัว คือ สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หลายคนอาจไม่คุ้นหู แต่สารตัวนี้จัดเป็นเครื่องสำอางควบคุม มีส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ยาสีฟัน ยาย้อมผมหรือกัดสีผม สารฟอกหนัง สำหรับทางการแพทย์แล้ว จะนำมาใช้ในการทำความสะอาดแผลลึก ปากแผลแคบ แต่สาว ๆ ที่ใจร้อน อยากมีผิวขาวเร็ว ก็จะใช้สารตัวนี้ซึ่งอยู่ในรูปของครีมเปลี่ยนสีผิว ครีมฟอกสีผิว หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายส่งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม บางยี่ห้อสามารถเปลี่ยนได้ทั้งสีผิวและสีขนอีกด้วย หลายคนอาจจะดีใจที่ผิวเปลี่ยนมาขาวกระจ่างใสด้วยระยะเวลาไม่นาน แต่ถ้าหากใช้บ่อย ๆ อาจทำให้ร่างกายไม่ผลิตสารเม็ดสีเมลานินให้กับผิวหนัง ทำให้เมื่อโดนแดด มีอาการแสบหรือระคายเคืองได้ ที่สำคัญที่สุดคือ มีโอกาสเสี่ยงเป็นเนื้องอกและมะเร็งผิวหนังได้มากกว่าผิวธรรมดา

การดูแลผิวยังมีอีกหลายวิธี เช่น การฉีดสารเติมเต็ม การใช้เลเซอร์ ซึ่งอาจช่วยได้ระยะหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ผลถาวร การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวไม่ว่าประเภทใดก็แล้วแต่ ควรเลือกซื้ออย่างมีสติ ไม่หลงเชื่อ คำโฆษณา การดูแลผิวให้มีสุขภาพที่ดีนั้น ต้องเริ่มจากภายใน พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการทำร้ายผิว เช่น การสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และวิธีที่ง่ายที่สุดคือ ดูแลผิวพรรณให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะมีผิวเฉดสีใดก็สวยได้ เพียงแค่มีความมั่นใจ คุณก็ดูดีได้ ในแบบของตนเอง กลายเป็นสาวมั่นปี 2012 ที่มีผิวสวยกระจ่างใสได้ไม่ยาก.

รศ.พญ.เพ็ญพรรณ วัฒนไกร
หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่มา: เดลินิวส์ 14 กรกฎาคม 2555

Related Link:

.

ปรับสภาพผิวหน้าอย่างไรให้เหมาะสม

ชี้แจงกระแสใช้ ‘มะหาด’ เป็นสารช่วยให้ ‘ผิวขาว’

เตือนแสงแดดสาเหตุจุดด่างดำใต้ชั้นผิว

ล่าสุดสถาบันวิจัยพอนด์สนำทีมออกเช็กสภาพผิวระดับยีนทั่วประเทศ ที่บูธสถาบันวิจัยพอนด์สตามห้างร้านชั้นนำ และออฟฟิศของสาวทำงานกลางเมือง และทำการสุ่มตรวจผิวของกลุ่มตัวอย่างที่มีความคิดเห็นว่าตนเองมีผิวธรรมดาถึงขาวจำนวน 100 คน ด้วยเครื่อง MSA เทคโนโลยีล่าสุดจากพอนด์ส ซึ่งสามารถวิเคราะห์ผิวหนังได้ถึงระดับยีนในชั้นผิวอีพิเดอร์มิส ร้อยละ 80 ของผู้หญิง 100 คน พบปัญหาจากจุดด่างดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นผิว ซึ่งเมลานินหรือเม็ดสีผิวเหล่านี้พร้อมจะส่งผลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ให้ผิวมีสีหมองคล้ำในที่สุด

นพ.ชัชพล เกียรติขจรธาดา นักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างกายและพันธุกรรม ได้อธิบายถึงเหตุผลไว้ว่า “เนื่องจากใต้ผิวของคนเรานั้นมีชั้นผิวลึกลงไปหลายชั้น เมื่อตรวจวิเคราะห์ลงลึกไปถึงระดับเมลาโนไซต์ เราจะพบว่าแท้จริงแล้ว เซลล์ผิวนั้นมียีนที่หน้าที่ควบคุมสีผิวผ่านการผลิตเมลานิน ถ้าผลิตมากผิวจะเป็นสีคล้ำ ตรงกันข้ามหากผลิตน้อยผิวพรรณจะกระจ่างใส ซึ่งจำนวนการผลิตเมลานินนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยคือพันธุกรรม และสภาพแวดล้อม อาทิ แสงแดดและมลภาวะ ในกรณีของสาวๆ ที่มั่นใจว่าผิวขาว กลับพบว่ามีปัญหาเรื่องจุดด่างดำซ่อนอยู่ภายใต้ผิว เนื่องจากยีนมีการกระตุ้นให้ผลิตเมลานินเป็นจำนวนมาก แต่ยังอยู่ในช่วงระยะเวลาที่เม็ดสีผิวจะผลัดขึ้นมาในระดับผิวที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า”

แสงแดดจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง ซึ่งสามารถลงไปทำปฏิกิริยาลึกถึงชั้นยีนผิว ดังนั้นการป้องกันปัญหาดังกล่าว นพ.ชัชพลได้แนะนำว่า “พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุด และเตรียมการป้องกันผิวด้วยการใช้ครีมบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ยีนผลิตเมลานิน และยังช่วยให้เมลานินที่ถูกผลิตขึ้น เลื่อนขึ้นมาในระดับที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าครับ”

ดร.เดวิด เบิร์ทวิสเทิล นักวิทยาศาสตร์สถาบันวิจัยพอนด์สนิวยอร์ก แนะนำว่า การดูแลผิวแบบเบสิกเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงทุกคน นั่นคือ การทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมดจด การใช้ครีมบำรุงผิวทั้งตอนเช้าและก่อนนอน นอกจากนั้นยังเป็นการดูแลเรื่องของสุขภาพ อาทิ การพักผ่อนให้เพียงพอ การดื่มน้ำ รับประทานผัก ผลไม้ และออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นต้น ที่สำคัญพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาผิว.

 

ที่มา:  ไทยโพสต์ 21 กุมภาพันธ์ 2555

ใบหน้าหมองคล้ำ…เอาอยู่

ผิวหน้าหมองคล้ำ ขอบตาดำเป็นหลินปิงน้อย ผลจากการอดตาหลับขับตานอน แพทย์ผิวหนังมีคำแนะนำสำหรับการฟื้นฟูสุขภาพผิว

นพ.จักกฤษณ์ อัครเศรณี ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม กล่าวว่า การพักผ่อนน้อยมีผลกระทบต่อผิวของเราโดยตรง ตั้งแต่ผิวหมองคล้ำไวต่อการแพ้ อักเสบ การติดเชื้อและผื่นคันแดงเกิดง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแห้งอยู่แล้วก็ยิ่งแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย ส่วนคนที่หน้ามันก็ยิ่งมันเยิ้มกว่าเดิม รวมถึงมีสิวอักเสบและริ้วรอยก่อนวัยได้ง่ายกว่าคนที่นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่ม

การดูแลผิวที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำได้ไม่ยาก เริ่มจากศึกษาถึงสาเหตุให้เข้าใจกันก่อนว่า กรณีที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ จะมีระดับ ฮอร์โมนความเครียดสูงกว่าปกติ ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับความแข็งแรงและสภาวะปกติของผิว ทำให้เกิดภาวะไวต่อการแพ้และอักเสบของผิว ทั้งยังลุกลามไปยังผื่นแพ้ชนิดต่างๆ รวมไปถึงโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับภาวะภูมิคุ้มกันของผิวอีกด้วย

คนที่มีผิวหน้ามันก็จะมันเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณสิวและสิวอักเสบมากขึ้นตามไปด้วย และยังทำให้กระบวนการสร้างและการสลายของเซลล์ต่างๆของร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงต่อกระบวนการชราของผิว เพราะจะทำให้ผิวเหี่ยวย่นเกินกว่าวัยนั่นเอง

การนอนน้อยยังส่งผลโดยตรงถึง คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ผิวเต่งตึงและชุ่มชื้น เพราะปกติคอลลาเจนจะสร้างได้สมบูรณ์ในภาวะที่มีการนอนหลับที่เพียงพอ การนอนน้อยร่างกายจะสร้างคอลลาเจนไม่เพียงพอ และส่งผลให้ผิวชราก่อนวัย ผิวขาดความชุ่มชื่น ความสามารถในการป้องกันผิวจากสารเคมี มลภาวะ แสงแดด รวมถึงเชื้อโรคต่างๆ ลดลง และมีสิวอักเสบเพิ่มมากขึ้นด้วย

การนอนน้อยยังมีผลให้ร่างกายกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองหลายตัวเพิ่มขึ้น หนึ่งในฮอร์โมนที่ถูกหลั่งออกมามากขึ้นคือ ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีในร่างกาย ส่งผลให้สภาพผิวโดยรวมดูหมองคล้ำ และยิ่งดูแย่มากยิ่งขึ้นเมื่อรวมกับระบบการซ่อมแซมผิวที่แย่ลงจากการขาดคอลลาเจน

แพทย์ด้านผิวหนัง กล่าวต่อว่า เมื่อรู้สาเหตุที่ทำให้ผิวหนังแก่ก่อนวัยแล้ว วิธีแก้ไขง่ายๆ เลยก็คือ การพักผ่อนให้มากขึ้น ออกกำลังกายให้มากขึ้น แต่หากหลายๆ คนไม่สามารถทำได้ จึงต้องหาทางเลือกอื่นทดแทน เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้กับผิวได้อย่างชาญฉลาด

ผู้ที่มีปัญหาหน้ามันและสิวเห่อ ต้องพยายามทำให้ผิวหน้าแห้งมากขึ้น เช่น ใช้ผลิตภัณ์บำรุงผิวที่มีสารช่วยลดความมันบนใบหน้า แต่ก็มีข้อควรระวังคือ อาจเกิดอาการระคายเคืองกรณีไม่เคยใช้มาก่อน
ฉะนั้น ควรเริ่มใช้จากปริมาณและความถี่น้อยๆ ก่อนสักระยะ และควรพบแพทย์หากมีสิวมากขึ้น เพื่อรับยากลุ่มยาฆ่าเชื้อทั้งแบบทาหรือกิน เพื่อไม่ให้มีสิวอักเสบมากเกินไป เนื่องจากสิวอักเสบเหล่านี้จะทิ้งแผลและรอยดำในระยะยาว และไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกิน หรือแกะ บีบ สิว เพราะระยะยาวจะทำให้อาการโดยรวมยิ่งแย่จนกลายเป็นหลุมสิวหรือสิวอักเสบเรื้อรังในที่สุด

กรณีที่ผิวแพ้มาก มีอาการแสบ แห้ง ลอก หรือเกิดอาการแพ้ ผื่นคัน ควรใช้ครีมบำรุงที่ไม่กระตุ้นการเกิดสิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวที่อ่อนแอหรือสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย ครีมบำรุงดังกล่าวจะทำให้อาการแสบแดงแห้งลอกทุเลาลงได้

หรือหาครีมที่มีส่วนประกอบของสารออกฤทธ์ เพื่อกดการสร้างของเซลล์เม็ดสีเช่นวิตามินซีมาใช้ รวมถึงกินวิตามินเสริมในกลุ่มวิตามินซี วิตามินบี วิตามินอี และกลูตาไธโอน เพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่มากขึ้นในช่วงเวลาที่พักผ่อนน้อย

หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัดๆ เป็นระยะเวลานานๆ ร่วมกับใช้ครีมกันแดดชนิดมีค่า SPF สูงๆ และ PA +++ เนื่องจากช่วงนี้ผิวหน้าอ่อนแอมาก และมีปัจจัยที่ทำให้ดำคล้ำได้ง่าย ถ้ายิ่งถูกแดดก็จะยิ่งกระตุ้นให้ผิวดำคล้ำมากขึ้น
หากปัญหาการแพ้หรือสิวเป็นมากขึ้น ควรรีบพบแพทย์แต่เนิ่นๆ เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ลุกลาม แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรกดสิวหรือฉีดสิวโดยไม่จำเป็น เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาระยะยาวได้มาก ทั้งเรื่องหลุมสิว รอยดำและปัญหาสิวเรื้อรัง และควรดื่มน้ำสะอาดในปริมาณมากขึ้นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
แพทย์ด้านผิวหนัง กล่าวว่า คำแนะนำข้างต้นเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและแก้ที่ปลายเหตุเท่านั้น การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ นอนพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพื่อผิวสุขภาพดี แข็งแรง ขาวใส ไม่มีสิวอย่างยั่งยืนและถูกต้อง

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ 21 กุมภาพันธ์ 2555